home ย้อนกลับ
๑๖...
สักครู่ เธอก็ได้เห็นรอยแย้มพระโอษฐ์คล้ายจะเห็นขันอยู่นิดๆ
เจ้าพูดได้น่าคิด เราคืออาจารย์พิชัย ที่นี่ก็หาได้เป็นโลกแห่งความจริง เป็นเพียงแค่ความฝันของเราเอง เช่นนั้นหรือ?
นิลเนตรหน้าแดงจัด เธอคิดอยู่เหมือนกันว่าเรื่องคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
ยอมรับเถิดค่ะ เพราะถ้าอาจารย์ยังไม่ยอมตื่น พวกเราก็จะไม่สามารถออกไปจากโลกแห่งนี้ได้ นี่เป็นโลกที่อาจารย์สร้างมันขึ้นมา พวกหนูเพียงแต่ถูกดึงดูดให้เข้ามาในนี้ ทำให้ฝันร่วมกันกับอาจารย์เท่านั้นเอง
หลักฐานล่ะ หลักฐานที่แสดงว่านี่เป็นแค่ความฝัน หาใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด ทรงรับสั่งเหมือนท้าทาย
นิลเนตรนิ่งเล็กน้อย คงถึงเวลาที่ต้องเอาจริงแล้ว
ถ้าพูดขนาดนี้ หนูก็จะพิสูจน์ให้ดู ถ้าเป็นความจริงล่ะก็ พวกหนูก็ต้องมีเลือดเหมือนคนทั่วไป แต่เพราะพวกเราเพียงแต่ถูกดึงจิตให้เข้ามาฝันร่วมกันเท่านั้น พวกเราจึงไม่มีร่างเนื้อจริงๆ
ก่อนที่รัชกาลที่๑จะรู้องค์ นิลเนตรก็พุ่งเข้ามา ใช้สองมือจับที่ปลายดาบแน่น
อย่า นิลเนตร รัชกาลที่๑พระพักตร์ซีดไปถนัด
นิลเนตรกลับเป็นฝ่ายมึนงง เพราะเธอรู้สึกเจ็บปวดที่มือทั้งสองข้าง เธอเห็นเลือดสีแดงไหลเต็มมือของเธอทั้งสอง
ปล่อย ปล่อยเดี๋ยวนี้ รัชกาลที่๑ใช้สันมือกระแทกลงที่ข้อมือของเธอ ทำให้นิลเนตรปล่อยมือจากพระแสงดาบ แต่เลือดก็ยังไม่หยุดไหล
รัชกาลที่๑ทรงหยิบผ้ามาช่วยห้ามเลือดให้ ตะโกนเรียกให้คนไปตามหมอหลวงโดยด่วน
พิสูจน์อะไรของเจ้ากัน เจ้าเกือบต้องเสียมือทั้งสองข้างแล้ว รับสั่งด้วยสุรเสียงคล้ายโกรธกริ้วอยู่ไม่น้อย
นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีเลือดด้วย? นิลเนตรไม่เข้าใจ
ยังไม่หายเพ้อเจ้ออีกหรือกระไร หากเป็นความฝัน เจ้าจะมีเลือดได้อย่างใด
นิลเนตรนิ่งอึ้ง รู้สึกสับสน ไม่รู้อันไหนจริง อันไหนฝันกันแน่
หมอหลวงมาถึงก็รีบทำแผลให้กับนิลเนตร โชคดีว่าแผลไม่ลึกเท่าที่คิด แต่เธอก็คงจะใช้มือสองข้างไปอีกไม่ได้สักระยะ
หลังจากหมอหลวงกลับไปแล้ว รัชกาลที่๑ก็ขับไล่ให้ทุกคนออกจากห้องไปก่อน ทรงกอดพระอุระจ้องนิลเนตรด้วยพระพักตร์ดูคล้ายยังไม่หายโกรธอยู่จริงๆ
แม้ข้าจะเคยกรำศึกผ่านร้อนหนาวมามากเพียงใด แต่ข้าก็เพิ่งเคยเจอคนที่ทั้งโง่และบ้าเช่นเจ้านี้เป็นครั้งแรก เรื่องที่ว่าฝันรึมิใช่ เจ้าเองน่าจะแยกแยะออก หากดวงจิตถูกดึงเข้ามาฝันร่วมกันจริง ร่างกายของเจ้าที่โลกโน้นซึ่งมิอาจเขยื้อนตัวเป็นเพลาหลายขวบเดือน ป่านฉะนี้เจ้าน่าจะตายไปแล้ว ไฉนใยจึงคงฝันร่วมกับเราได้อีก
นิลเนตรเพิ่งเคยรู้สึกอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีเป็นครั้งแรก ดูเหมือนทฤษฎีของเธอจะผิดมหันต์ รัชกาลที่๑คงเห็นเธอกลายเป็นพวกบ้าไปแล้วแน่ๆ
หม่อมฉัน...ขอประทานอภัยเพคะ นิลเนตรทูลกระซิบ เพราะอายจนแทบพูดไม่ออกแล้ว
เอาเถิด เพลานี้เราเข้าใจแล้วว่าเจ้าอยากกลับบ้านมากเพียงไหน เช่นนั้นเจ้าจงรับพระแสงดาบเรานี้ไปเถิด รัชกาลที่๑ทรงยื่นพระแสงดาบไปให้กับเธอตรงหน้า
เด็กสาวมีสีหน้ามึนงง ไม่คาดคิดว่าจะทรงยอมง่ายดายถึงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ทรงพยายามขัดขวางเต็มที่
ทำไม? นิลเนตรไม่เข้าใจ
ทรงมีสีพระพักตร์ดูเจ็บปวดยิ่งนัก
เรายอมแพ้แล้ว เรายอมแพ้ในความตั้งใจเด็ดเดี่ยวของเจ้า เราทนเห็นเจ้าทำเช่นนี้อีกไม่ได้ หากว่าเจ้าต้องมีอันเป็นอะไรไป สู้เรายอมตายเสียดีกว่า
คำตอบนั้นทำให้เด็กสาวได้แต่นิ่งอั้น รู้สึกตัวว่าได้ทำร้ายความรู้สึกของพระองค์อย่างมหันต์ แต่เธอก็มิรู้จะทำเช่นไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
หม่อมฉัน...
เจ้ามิจำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีก รับพระแสงดาบของเราไป แล้วพวกเจ้าทุกคนก็จะได้กลับบ้านสมดังความปรารถนานี้เอง
นิลเนตรมีอาการคล้ายลังเลอยู่เป็นชั่วครู่ กว่าจะยื่นมือไปรับพระแสงดาบมากอดแนบอก อีกไม่นาน เธอก็จะได้กลับบ้านแล้วจริงๆ หรือ แต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกไม่เป็นสุขนัก ทั้งๆ ที่มันเป็นความปรารถนาของเธอเองแท้ๆ
รัชกาลที่๑พยายามหักห้ามพระทัย จากนั้นก็เรียกให้คนไปตามเทพทั้งหกมาโดยเร็ว
หลังจากนั้นทั้งหกคนก็มาเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ พอได้ทราบว่าทรงมอบพระแสงดาบให้นิลเนตรเพื่อให้กลับบ้านได้ ต่างก็ดีใจจนบอกไม่ถูก
จริงหรือเพคะ? จะให้เรากลับบ้านได้แล้วหรือเพคะ? ปรียานุชถามเหมือนกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
รัชกาลที่๑ทรงพยักพระพักตร์
เราเป็นกษัตริย์ พูดแล้วไม่คืนคำ เพลานี้เราก็ได้มอบพระแสงดาบให้นิลเนตรไปแล้ว พวกเจ้ายังข้องใจอันใดอีก
ทุกคนหันไปมองนิลเนตรพร้อมกัน เห็นเด็กสาวกำลังกอดพระแสงดาบไว้แนบอก
รัชกาลที่๑เพียงแต่หันไปพยักพระพักตร์กับเธอ นิลเนตรก็เข้าไปคุกเข่ารวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆ ทำท่าค้อมคำนับ
หม่อมฉันและทุกคนรู้สึกถึงน้ำพระกรุณาในครั้งนี้ ขอให้พวกเรากราบพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายเถิดเพคะ
ทรงยืนนิ่งเฉยประดุจรูปปั้นหิน มิได้รับสั่งใดๆ แต่หนุ่มสาวทั้งเจ็ดก็ได้กราบกับพื้นแทบเบื้องยุคคลบาตรด้วยท่าทางเหมือนกำลังซาบซึ้งในน้ำพระกรุณาเป็นอย่างมากจริงๆ
เจ็ดหนุ่มสาวเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ของรัชกาลที่๑ ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดจากปาก เป็นบรรยากาศที่แฝงความเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด
นิลเนตรรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวชอบกล คล้ายอยากจะร้องไห้ออกมา พวกเพื่อนๆ ต่างมองเธอนิ่งอยู่เป็นครู่ รอการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเธอ
เด็กสาวรู้ตัวว่า ถึงเวลาแล้ว ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา นิลเนตรเหลือบตามองสายตาของเพื่อนๆ ที่มองเธออย่างรอคอยกันอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขากำลังรอคอยสิ่งใด แล้วเด็กสาวก็เทินพระแสงดาบขึ้นเหนือศีรษะของตน เพื่อวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลก ช่วยดลบันดาลให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้ง
ทันใด แสงสว่างก็ปรากฎขึ้น กระจ่างจ้าไปทั่วห้องหับแห่งนั้น แสงนั้นราวกับจะกลืนกินทั้งเจ็ดคน
ชั่ววูบที่ทรงอยากจะเข้าไปแย่งพระแสงดาบกลับคืน แต่ที่ทำได้นั้น คือเพียงแต่ยืนจ้องมองเฉยเมย แล้วร่างของทั้งเจ็ดคนก็ค่อยหายวับไปต่อหน้าเบื้องพระพักตร์นั้นเอง
นางไปแล้ว... ทรงยืนเหม่อลอยอยู่เป็นครู่ นางจะไม่มีวันกลับมาหาเราอีก
ภายในห้องจู่ๆ ก็มืดครื้มลง เพราะเมฆเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์พอดี คล้ายกับดวงหฤทัยที่เหมือนถูกบดบังด้วยม่านหมอก
นิลเนตรลืมตาขึ้น แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงภายในห้องของตัวเอง เด็กสาวลุกขึ้นนั่งอย่างแปลกใจอย่างยิ่ง ทำไมเธอถึงกลับมาอยู่ในห้องของตัวเองได้
เด็กสาวเหลือบตาไปเห็นพระแสงดาบที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอรีบเข้าไปดูใกล้ๆ ยื่นมือสั่นเทาไปลูบไล้ มันเหมือนกับความฝันไม่มีผิด หรือเธอยังฝันไปอยู่
ประตูห้องเปิด นงเยาว์เดินเข้ามาในห้อง
ฟื้นแล้วหรือลูก? มารดารีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
แม่! นิลเนตรอุทาน โผเข้ากอดแล้วร้องไห้ซบหน้ากับอกนั้นด้วยความเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้เจ็บที่แผล แต่เจ็บไปถึงในใจ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่
อะไรกัน? พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเชียว นงเยาว์ถามงงๆ
หนูคิดถึงแม่ค่ะ นิลเนตรพูด น้ำตายังไม่ยอมหยุดไหล
นงเยาว์ทำหน้างุนงงอยู่ เหมือนไม่เข้าใจที่เธอพูด
จ้ะๆ นงเยาว์ทำท่าปลอบ
นิลเนตรร้องไห้จนรู้สึกพอใจแล้ว เธอจึงเริ่มตั้งคำถามขึ้น เพราะรู้สึกยังสงสัยอยู่
แม่คะ ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่? นิลเนตรถาม
นงเยาว์ทำท่าถอนใจน้อยๆ
ก็พวกลูกน่ะดันไปเป็นลมตอนไปทัศนะศึกษา ตอนที่เขาโทรมาบอก แม่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย
เป็นลม? พวกหนูหรือคะ? นิลเนตรยังงงไม่หาย ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด
ใช่ซี ฟังเขาเล่าว่า จู่ๆ พวกลูกก็หายไปไหนไม่รู้ แล้วก็มาพบว่าเป็นลมหมดสติแน่นิ่งไปกันหมด เขาเลยโทรเรียกให้รถพยาบาลมาพาไปตรวจเช็ก ก็ไม่เห็นว่าพวกลูกเป็นอะไร แม่เลยรับลูกกลับมานี่แหละ
งั้น...วันนี้ก็ยังเป็นวันอาทิตย์ใช่ไหมคะ?
ก็ใช่ซีจ้ะ ลูกหมดสติไปเกือบทั้งวันเลย นงเยาว์พูดแล้วอดใจคอไม่ดี
ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ? นิลเนตรถาม
ห้าโมงเย็น เดี๋ยวก็ได้เวลาทานข้าวแล้ว ลูกจะไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยก่อนไหมล่ะ
นิลเนตรนิ่งอึ้งเล็กน้อย ถ้าเช่นนั้น เวลาของที่นี่ก็เท่ากับไม่ได้ไปไหน คงหยุดอยู่ที่เดิม สำหรับนงเยาว์แล้ว เธอก็เหมือนเพิ่งออกไปเดินเล่นนอกบ้านเดี๋ยวเดียวเอง ทั้งๆ ที่ความจริงเธอไปติดอยู่ในอดีตถึงสามเดือนเต็มๆ
แล้วนงเยาว์จะคิดอย่างไร ที่เธอเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายเสียใหญ่โตแบบนี้
แล้ว...พระแสงดาบนี่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? นิลเนตรถามอย่างไม่เข้าใจอีก
นงเยาว์มุ่นคิ้ว
เห็นเขาว่าลูกกอดมันไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย พวกเขาเองก็งงๆ อยู่ เพราะพระแสงดาบจริงๆ ก็ยังอยู่ที่เดิม เลยคิดว่าอันที่ลูกเอาไปด้วยนี่ คงเป็นของที่ใช้เล่นละคร นี่ลูกเข้าชมรมการละครไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกแม่บ้าง?
เอ้อ...คือ... นิลเนตรไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
นงเยาว์มองบุตรีอย่างนึกสงสัย
นิล บอกแม่มาตามตรงนะ ดาบนี่เป็นแค่ของที่ใช้แสดงละครจริงๆ เท่านั้นใช่ไหม แต่แม่ดูยังไง มันก็เหมือนของจริงจนเกินไป ลูกเป็นผู้หญิงนะ ไม่ควรเอาของมีคมมาเล่นแบบนี้ แม่ไม่ชอบเลย
นิลเนตรนิ่งเงียบ ดาบเล่มนี้ไม่ใช่แค่ดาบธรรมดา แต่มันมีค่าสำหรับเธออย่างที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่รัชกาลที่๑มอบให้กับเธอเอง เธอจะไม่ยอมทิ้งมันเป็นอันขาด
แต่จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น นิลเนตรจึงรีบหยิบขึ้นมาแนบหู
ฮัลโหล?
นิล เธอกลับถึงบ้านแล้วใช่ไหม? เสียงภาคินีดังมาตามสาย
ภา ดีใจจังที่ได้ยินเสียงเธอ นิลเนตรพูดอย่างดีใจ เช่นนั้นทุกคนก็คงกลับถึงบ้านกันหมดแล้ว
ดีจังเลย เสียงภาคินีสะอื้นมาเบาๆ
นงเยาว์เห็นเช่นนั้น ก็เลยออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้ลูกสาวคุยกับเพื่อนต่อไป
นิล ต่อไปเธอจะเอายังไงอีกเหรอ? ภาคินีถาม หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว
จะเอาไงอะไร คืนนี้ก็นอนพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนไง นิลเนตรตอบ
ไม่ใช่ ฉันหมายถึง...เธอไม่เสียใจเหรอ เธอไม่ได้ชอบรัชกาลที่๑งั้นหรือ? ภาคินีถามอย่างเกรงใจเล็กน้อย
เด็กสาวนิ่งอึ้ง เรื่องนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้ เธอกับท่านอยู่กันคนละโลก ต่อไปคงไม่มีวันพบกันอีกแล้ว
ลืมมันไปเถอะ ทุกอย่างเป็นแค่ความฝันเท่านั้น พวกเราต่างก็มีหน้าที่ของตนรออยู่ โลกของเราสองคนไม่มีวันบรรจบกันได้หรอก นิลเนตรพูดเหมือนเตือนสติตัวเอง
ถ้าเธอคิดแบบนั้นจริงๆ ฉันก็หมดห่วง งั้นพรุ่งนี้เราค่อยเจอกันที่โรงเรียนนะ ภาคินีพูด
อืม แล้วเจอกัน จากนั้นนิลเนตรก็ตัดสาย
เด็กสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง ในใจอดเงียบเหงาอย่างประหลาดไม่ได้ ต่อไปจะไม่มีอ้อมพระกรที่อบอุ่นอีกแล้ว
นิลเนตรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็มาที่ห้องที่ใช้นั่งทานข้าว เห็นมารดาเตรียมกับข้าวตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว รอแค่ให้เธอมานั่งทานด้วยกันเท่านั้น
ว้าว น่าทานทั้งนั้นเลยค่ะ แม่ นิลเนตรพูดเหมือนยอ
อะไรกัน ก็เหมือนทุกวันไม่ใช่หรือ เรานึกยังไงถึงได้ทำปากหวานได้ล่ะเนี่ย แต่นงเยาว์ดูมีท่าทางพอใจมาก
งั้นทานเลยนะคะ
นิลเนตรไม่รอคำตอบ รีบนั่งที่มาหยิบช้อนส้อม แล้วตักโน่นนี่ชิมเป็นการใหญ่ นงเยาว์เห็นลูกสาวดูแปลกๆ อยู่ แต่เธออดรู้สึกสบายใจนิดๆ ไม่ได้
เออ...แม่คะ บ้านเรามีรูป...เอ่อ...พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่๑บ้างหรือเปล่าคะ? นิลเนตรถาม
นงเยาว์ดูแปลกใจไม่น้อย ที่จู่ๆ บุตรสาวก็ถามถึง
ก็มีนะ แต่เป็นภาพรวมทั้งเก้ารัชกาล ที่เมื่อก่อนคุณพ่อไปหาซื้อจากแถวคลองถมโน่น แขวนอยู่ในห้องพระแหละ แต่ลูกไม่เคยสนใจสังเกตเอง ทำไมเหรอ? นงเยาว์ถาม แล้วจ้องเธอเขม็ง
หนู...หนูอยากจะเข้าไปดู ได้ไหมคะ? นิลเนตรพูด
ได้สิ ไว้ทานข้าวเสร็จ เราขึ้นไปดูด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่เราจะได้ไหว้พระพร้อมๆ กัน นงเยาว์พูดยิ้มๆ อดนึกดีใจกับความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของลูกสาวไม่ได้
นิลเนตรจึงยิ้มนิดๆ ไม่ได้ปฏิเสธ
สองแม่ลูกเข้าไปกราบไหว้พระพุทธรูปในห้องพระด้วยกัน เสร็จแล้วนิลเนตรก็เข้าไปยืนดูพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่๑ ซึ่งเป็นภาพรวมหมู่ครบทั้งเก้ารัชกาล
แก่จัง นิลเนตรวิจารณ์
นงเยาว์ตีแขนเพี๊ยะ
พูดแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวชาติหน้าได้ปากเท่ารูเข็มหรอก
นิลเนตรกลับหัวเราะ
แต่หนูว่าตัวจริงหล่อกว่าในภาพอีกนะคะ เด็กสาวพูดยิ้มๆ
อะไรนะ ตัวจริงอะไร พูดเหมือนกับเคยเห็นงั้นแหละ นงเยาว์ดูจะไม่เข้าใจลูกสาวอีกแล้ว
แล้วทำไมถึงไม่มีภาพเดี่ยวๆ ของท่านบ้างละคะ ทีของในหลวง ของร.๕ และราชินียังมีเลย นิลเนตรถาม นอกจากภาพรวมนี้แล้ว ยังมีภาพในหลวง รัชกาลที่๕ และสมเด็จพระบรมราชินีแขวนอยู่แท้ๆ
เอ ไม่รู้ซีนะ แม่เองไม่เคยเห็นใครแขวนภาพเดี่ยวๆ ของท่านสักที คงเพราะท่านไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่มั้ง
ทำไมงั้นละคะ ท่านเป็นถึงต้นราชวงศ์ เป็นผู้สร้างแผ่นดินที่พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุขนี่ ถ้าไม่ได้ท่านคอยช่วยปกป้องไว้ด้วยหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อ พวกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง
นั่นมันก็จริง แต่ว่า...
อ๋อ หรือเพราะว่าทุกคนคิดว่าท่านเป็นกบฎต่อพระเจ้าตากสิน? นิลเนตรพูดเหมือนรู้ทันขึ้นมา
นงเยาว์มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีขึ้นมาทันที
อย่าพูดแบบนั้นให้ใครได้ยินนะ เดี๋ยวได้เป็นเรื่องหรอก นงเยาว์เตือนบุตรสาว
ทำไมพูดไม่ได้? นิลเนตรทำท่าดื้อรั้น เพราะจริงๆ ทุกคนก็คิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหมคะ ถ้ารัชกาลที่๑ทรงทราบ มีหวังเสียพระทัยเป็นแน่ ที่ลูกหลานของท่านคิดกับท่านเช่นนั้น
นงเยาว์ทำหน้าผิดสีอยู่ไม่น้อย ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมลูกสาวเธอต้องโกรธเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ด้วย ทั้งที่ก่อนหน้าก็ไม่เห็นจะสนใจด้วยซ้ำ
แม่ไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระนี่อีกแล้ว แม่ไปอาบน้ำ แล้วเข้านอนเลยดีกว่า ถ้าลูกหมดธุระแล้ว ก็กลับห้องไปเถอะ
พูดแล้วนงเยาว์ก็รีบออกจากห้องพระ นิลเนตรได้แต่ยืนทำหน้าง้ำงอ ทำไมทุกคนถึงได้เป็นแบบนี้ไปกันหมด แบบนี้ต่อให้เธอพูดจนปากฉีก ก็คงไม่มีใครยอมเชื่ออยู่ดี ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์
เช้าวันต่อมา นิลเนตรอาบน้ำเปลี่ยนไปสวมชุดนักศึกษาของตน จากนั้นก็ออกจากห้อง เดินลงมาชั้นล่าง
แม่คะ แม่ เด็กสาวส่งเสียงเรียก
แต่ไม่มีเสียงตอบ นิลเนตรจึงเดินเข้าไปยังห้องอาหารและห้องครัว ก็ไม่พบใครเลยสักคน
หายไปไหนกันหมดเนี่ย? เด็กสาวไม่เข้าใจ แต่เธอไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกัน ไม่ทำกับข้าวไว้ให้ด้วย ใจดำจัง จะให้เราไปซื้อขนมปังกินแทนหรือไง
เด็กสาวทำท่างอนตุ๊บป่อง ก่อนจะเดินออกไปทางระเบียง ออกไปทางหน้าบ้าน แต่เธอก็ไม่เห็นใครเลยสักคน
นิลเนตรรู้สึกประหลาดใจมาก แม้จะยังเป็นเวลาเช้า แต่ก็น่าจะมีคนออกมาเดินไปทำงานกันบ้าง บางคนก็อาจออกมาซื้อของ แต่เช้านี้กลับไม่มีใครเลยสักคน
จู่ๆ เสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้น นิลเนตรรับขึ้นมา
นิลเนตร? เสียงเกียรติภูมิดังขึ้นมา
เกียรติภูมิ? มีอะไรหรือเปล่า? นิลเนตรถาม ถ้าไม่มีเรื่อง เขาไม่น่าจะโทรมา เพราะอีกเดี๋ยวก็ต้องเจอกันที่โรงเรียน
นิลเนตร เธอไม่รู้สึกอะไรผิดปรกติบ้างเลยหรือ?
อะไรเหรอ? เด็กสาวถามอีกครั้ง ชักใจคอไม่ดี
ฟังให้ดีนะ นิล ในเมืองตอนนี้ดูเหมือนผู้คนจะหายตัวไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกเราเท่านั้น เกียรติภูมิบอกกับเธอ
ทีแรกนิลเนตรคิดว่าเขาต้องเป็นบ้าไปแน่ๆ แต่มานึกดูแล้ว เช้านี้ดูมีอะไรผิดปรกติมากจริงๆ
เป็นไปได้ยังไง? นิลเนตรไม่ยอมเชื่อ
เป็นเรื่องจริงนะ ฉันตื่นขึ้นมาก็ไม่พบใครเลย ไปดูบ้านข้างๆ ก็ไม่เห็นใคร ฉันลองโทรไปถามคนอื่นๆ หมดแล้ว พวกเขาก็เป็นเหมือนกันหมด พ่อแม่ของพวกเราหายไป ทุกคนหายไปหมดแล้ว อาจจะทั้งกรุงเทพ...หรือประเทศนี้เลยก็ได้ หายไปไม่เหลือสักคนเดียว
ไม่จริง นิลเนตรไม่อยากจะเชื่อจริงๆ งั้นแม่ก็...
นิลเนตร สงบใจไว้นะ เดี๋ยวฉันกับทุกคนจะไปหาเธอที่บ้าน รออยู่ที่นั่นนะ เสียงเกียรติภูมิบอกมา
ก...ก็ได้ ฉันจะรอ นิลเนตรตอบ ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดเงียบไป
เด็กสาวยืนนิ่งอยู่เป็นครู่ รู้สึกสับสนและกังวลใจจนบอกไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เธอคิดถึงพระแสงดาบขึ้นมาได้ ก็รีบผลุนผลันกลับไปยังห้องของตน มันยังคงวางอยู่บนโต๊ะที่เดิม เด็กสาวคว้ามากอดเอาไว้แน่น เสมือนเป็นเครื่องลางไว้ใช้ป้องกันตัว
นิล...เนตร...
นิลเนตรหันไปตามเสียงเรียก แล้วเกือบร้องกรี๊ด เมื่อเห็นรัชกาลที่๑ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ตามพระวรกายเต็มไปด้วยพระโลหิตสีแดงฉาน ดูน่ากลัวยิ่ง
ไม่จริง! เธอหลับตานิ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะลืมตาขึ้นมอง ภาพหลอนนั้นหายไปแล้ว
นิลเนตรงุนงง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
หรือว่า...จะเกิดอะไรขึ้นกับรัชกาลที่๑? เด็กสาวทำท่าตกใจ เมื่อคิดได้เช่นนั้น
แต่ตอนนี้เธอยังทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะยังไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนรอบข้างกันแน่
นิลเนตรออกไปรอรับเพื่อนๆ ที่หน้าบ้าน แล้วก็เห็นทุกคนมาด้วยกันในรถเก๋งสีเงินที่ปรียานุชเป็นคนขับเอง
นิล ภาคินีกับธิติมารีบปราดเข้าไปหาเธอก่อนใคร
คนอื่นๆ ก็ค่อยรีบเข้ามาสมทบ ท่าทางดูตื่นเต้นกันหมด
เกิดอะไรขึ้น? นิลเนตรถาม
ไม่รู้เหมือนกัน แต่ระหว่างทางที่พวกเรามานี่ เราก็ยังไม่เห็นใครเลยสักคน ดูเหมือนที่นี่เป็นเมืองร้างไปแล้ว หมีอ้วนพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ถูก
เราจะเอายังไงดี? ธิติมาหันมาถาม
ทุกคนนิ่งอึ้งไปกันหมด เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ก่อนอื่น...เราลองไปดูที่โรงเรียนก่อนไหม เผื่ออาจจะพบเบาะแสอะไรบ้าง เกียรติภูมิพูดอย่างหารือ
แต่ฉันว่า เราไปหาอาจารย์พิชัยก่อนไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเป็นอาจารย์ล่ะก็ จะต้องช่วยบอกเราได้แน่ ว่าเกิดอะไรขึ้น นิลเนตรพูด ถ้าอาจารย์อยู่ด้วย เธอคงรู้สึกสบายใจกว่านี้
อาจารย์ก็หายไปแล้ว ฉันลองโทรไปไม่รู้กี่สิบเที่ยว แต่ก็ไม่มีใครรับสายสักคน เมื่อกี้ลองแวะไปดู ที่บ้านก็ไม่มีใคร หมีอ้วนบอกเธอ
นิลเนตรรู้สึกเหมือนช็อกแทบพูดไม่ออก ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้ เธอกอดพระแสงดาบแน่น ขอเป็นที่พึ่งทางใจ
อาจารย์ก็หายไป แล้วเราจะทำไง? ธิติมาถาม
ไปดูที่โรงเรียนก่อนเถอะ แล้วเราค่อยว่ากันอีกที เกียรติภูมิบอกทุกคน
ทั้งหมดเห็นด้วยกับเขา จึงพากันทยอยขึ้นรถ
ตลอดทางที่ผ่านมานั้น ไม่มีผู้คนออกมาเดินตามริมถนน ไม่มีแม้แต่รถที่เคยจอแจ มีแต่รถของพวกเขาเท่านั้น ดูเหมือนว่า เมืองนี้จะกลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว
พวกเขามาถึงหน้าโรงเรียน พอลงจากรถก็หยุดยืนมองไปรอบๆ เห็นธงชาติไทยกับธงชาติศาสนาปักอยู่ตรงเสาหน้าประตู
แต่ทันใด ธงชาติไทยก็เปลี่ยนไป แม้แต่ธงศาสนาก็หายไปต่อหน้าพวกเขา
อะไรกันเนี่ย? ศิลาเองก็ยังตกใจเป็นอย่างมาก
นั่นมัน...ธงชาติพม่า ภาคินีพูด ทำให้ทุกคนยิ่งตกใจ
หมายความว่าไง? ทำไมธงชาติไทยจึงกลายเป็นธงของพม่าไปล่ะ? ปรียานุชถามอย่างไม่เชื่อหู
ก็หมายความว่าที่นี่กลายเป็นประเทศพม่าไปแล้วน่ะซี เกียรติภูมิตอบ
เล่นเอาทุกคนตกใจไปกันหมด ไม่อยากเชื่อกับเรื่องนี้ แต่ความจริงตรงหน้าพวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะจู่ๆ ธงชาติไทยก็เปลี่ยนไปเป็นธงชาติพม่าต่อหน้าต่อตาพวกเขาเอง
เข้าไปดูข้างในกันก่อนเถอะ หมีอ้วนพูดอย่างใจร้อน
ทั้งหมดรีบเข้าไปข้างในตึก เข้าไปดูทีละห้อง จนกระทั่งมาถึงห้องสมุด พวกเขามองไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ทั้งเก้ารัชกาลที่แขวนอยู่บนผนัง แต่จู่ๆ ภาพนั้นก็หายไปเสียเฉยๆ เล่นเอาพวกเขาสะดุ้งโหยงไปกันหมด
ไม่จริง! หมีอ้วนอุทาน ก่อนจะรีบล้วงกระเป๋าสตางค์ของตน เขาหยิบแบ๊งค์ยี่สิบออกมา ภาพในหลวงหายไปแล้ว เขาถึงกับเข่าอ่อน ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลัง เพราะยืนไม่อยู่
เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นความสำคัญของสิ่งเล็กๆ เหล่านี้ แต่มาตอนนี้เขาอยากให้ทุกอย่างกลับคืนเป็นปรกติ
มันต้องเป็นความฝัน นี่ต้องไม่ใช่ความจริง เขายอมรับกับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ เราอุตส่าห์ได้กลับมาบ้านแล้วแท้ๆ
"ใจเย็นๆ ก่อน หมีอ้วน" เกียรติภูมิพูดเหมือนปลอบ
"จะให้ใจเย็นยังไง นายมีคำตอบสำหรับเรื่องบ้าๆ พวกนี้หรือเปล่า" หมีอ้วนถาม
home ย้อนกลับ
|