หน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 13 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๑๒...

ป็นเวลายามเท่าใดไม่ทราบ นิลเนตรรู้สึกตัวตื่น พบว่าทรงไม่ได้บรรทมอยู่ข้างๆ เธอจึงลุกขึ้นมองหา เห็นแสงไฟข้างนอก จึงได้ออกมายืนดู
“จะไปกันแล้วรึ?” รัชกาลที่๑ดำรัสถาม
“พวกข้าพระพุทธเจ้ามาขอบังคมทูลลา” กรมพระราชวังบวรน้อมบังคมทูล
“ขอให้พวกเจ้าทั้งหมดจงเดินทางโดยสวัสดิภาพ และจงนำชัยชนะกลับมา” รัชกาลที่๑กล่าวอวยชัยให้
ทั้งหมด ซึ่งมีกรมพระราชวังบวร เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เจ้าพระยาธรรมา เจ้าพระยายมราช รวมทั้งทหารนายกองก็น้อมบังคมถวาย ก่อนที่จะพากันจับดาบ และเดินขบวนออกไป
นิลเนตรยืนนิ่งอึ้งเล็กน้อย เมื่อได้คิดว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว รัชกาลที่๑ยกพระหัตถ์ขึ้นมากุมพระอุระ ทำให้เด็กสาวรู้สึกตัว รีบเข้าไปโอบประคองเพื่อพากลับเข้าห้องบรรทม
“ขออย่าทรงห่วงไปเลยเพคะ ศึกครั้งนี้เราต้องได้ชัยชนะแน่นอนเพคะ” นิลเนตรทูลเพื่อให้ทรงคลายพระวิตก
“แต่ถ้าแพ้สงคราม ประเทศชาติก็จะล่มสลาย เจ้าว่าเช่นนั้นมิใช่รึ?” รัชกาลที่๑ย้อนถาม
นิลเนตรอึกอัก
“หากเราต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในตอนนี้ และเมื่อพม่าตกกลายเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แม้ในภายหลังอังกฤษจะคืนอิสรภาพให้พม่า แต่พม่าคงไม่ยอมคืนอิสรภาพให้กับเรา พวกเราก็คงเป็นเหมือนดังพวกกะเหรี่ยงและไทยใหญ่ ที่ไม่อาจกลับคืนเป็นเอกราชได้อีกตลอดกาล”
ทรงนิ่งอึ้งไปครู่
“ถ้าเราไม่บาดเจ็บเช่นนี้ เราจะเป็นคนนำทัพออกไปด้วยตัวเราเอง”
“อย่าทรงวิตกถึงกระนั้นเลยเพคะ ขอเพียงแต่ให้ทัพที่๒ของกรมพระราชวังบวรสามารถรักษาทุ่งลาดหญ้าเอาไว้ได้ กองทัพพม่าที่ติดอยู่บนเขา อันเป็นที่กันดาร ไม่อาจหาเสบียงได้ เมื่อขาดอาหาร กำลังก็ย่นย่อ ไร้หนทางจะสู้ได้ และด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมของพระอนุชาธิราชที่ให้คนแต่งเป็นกองโจรไปดักปล้นชิงเสบียงของพวกมัน อีกทั้งยามดึกสงัดก็ให้กองทัพส่วนหนึ่งทำทีแกล้งถือธงทิวเดินขบวนกลับเข้าทัพอยู่เนืองๆ พวกพม่าที่อยู่ที่สูงกว่ามองลงมาเห็น ก็จะพากันหมดกำลังใจ เพราะคิดว่ากองทัพไทยมีกองทัพหนุนเข้ามาเรื่อยๆ เท่านี้พวกมันก็กลัวแทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
รัชกาลที่๑ได้ฟังก็มีสีพระพักตร์ดีขึ้นมากทันตาเห็น จึงได้แย้มพระโอษฐ์อย่างพอใจมาก
“หากทัพไทยเรามีชัยชนะจริงดังเจ้าว่า แม้นว่าถ้าเจ้าจะขอสิ่งใด เพียงแต่ไม่ใช่พระแสงดาบ เราจะมอบให้เจ้าโดยดี”
นิลเนตรอึ้งเล็กน้อย
“เมื่อไม่ประทานพระแสงดาบ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งนั้นเพคะ” เธอกล่าวอย่างน้อยใจอยู่
ทรงมีสีพระพักตร์บึ้งตึง
“ที่เราต้องบาดเจ็บเกือบตายเช่นนี้ มันเป็นเพราะพวกเจ้าทุกคนหาใช่รึไม่ เราบอกแล้วว่านี่ถือเป็นการทำโทษ”
นิลเนตรหน้าจ๋อยไปถนัด รู้สึกถึงความผิดขึ้นมา เธอจึงยกมือพนม
“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ” เธอกล่าวอย่างเสียใจจริงๆ ไม่น่าพูดออกมาเลย
ทรงคลายสีพระพักตร์เล็กน้อย
“เช่นนั้น...บอกเรามาสิ เจ้าต้องการสิ่งใด?”
“งั้น...ขอทรงปล่อยพวกเราเป็นอิสระได้ไหมเพคะ?”
รัชกาลที่๑ไม่ทันดำริถึงเรื่องนี้
“จะให้เราปล่อยเพื่อนๆของเจ้ารึ แต่พวกเขามีโทษฐานคิดเป็นขบฏต่อเรา แล้วจะให้ปล่อยตัวได้อย่างไร”
“แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น เมื่อไม่มีอาวุธเทพแล้ว จะไปทำอะไรได้เพคะ เรื่องจะเป็นกบฎน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะ”
“เจ้ากำลังกล่าวหาว่าหลวงราชวงศาเพ็จทูลต่อเรา” ทรงไม่เชื่อจนเห็นได้ชัด
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่ได้หมายความอย่างงั้น หม่อมฉันเพียงแต่สงสัยว่า ต้องเป็นความเข้าใจผิดมากกว่า พวกนั้นไม่มีปัญญาจะก่อกบฏได้หรอก แล้วก็คงไม่กล้าด้วย จริงๆนะเพคะ”
ทรงนิ่งเล็กน้อย ก่อนจะมีกระแสรับสั่งเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งให้เข้ามา แล้วทรงมีรับสั่งกระซิบกระซาบเพียงสองคน ทำให้นิลเนตรสงสัยว่า ทรงมีแผนการอะไรอยู่แน่
มหาดเล็กทำท่าเข้าใจ แล้วน้อมบังคมลา ก่อนจะคลานออกจากห้องไป
“หากเรื่องที่เจ้าว่าเป็นความจริง เราจะยอมปล่อยเพื่อนๆ เจ้าเป็นอิสระตามที่เจ้าต้องการ” รัชกาลที่๑รับสั่ง
นิลเนตรจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้มีเหตุร้ายใดๆขึ้นอีกเลย

ที่ตำหนักของเทพทั้งหก เหล่าเทพกำมะลอต่างมีท่าทางดูเงียบกริบกันไปหมด แม้แต่ศิลาเองก็ยังไม่กล้าพูดมากอะไร ตอนนี้มีรับสั่งมาว่า ถ้าใครยังขืนก่อเรื่องวุ่นวาย จะส่งไปคุกหลวงเสีย
ทั้งหกคนจึงได้แต่ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ โดยที่ต่างคนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ขณะนั้นเอง มหาดเล็กของรัชกาลที่๑ก็เข้ามาในห้อง แล้วช่วยรินน้ำจัณฑ์ นำมายื่นให้กับหมีอ้วนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้
“อะไร?” หมีอ้วนถาม จ้องหน้าเขาระแวงอยู่
“เสวยน้ำจัณฑ์เสียหน่อยเถิด ท่านเทพ” มหาดเล็กพูดเอาใจจนเห็นได้ชัด
“ไม่เอาโว้ย ฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะ” หมีอ้วนพูดห้วนๆ
แต่เกียรติภูมิกลับคว้าถ้วยเหล้าในมือมหาดเล็กไปดื่มรวดเดียวหมด
“เฮ้ย! นั่นมันเหล้าเพรียวๆเชียวนะแก” หมีอ้วนเตือน
เกียรติภูมิเองก็ไอแค่กๆออกมาเป็นครู่ เพราะเหล้าแรงกว่าที่คิด
“ฉันอยากดื่มให้เมาตายไปเลย” เกียรติภูมิพูดด้วยสีหน้าดูทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
หมีอ้วนมองเขาอย่างสงสารเห็นใจ
“นายชอบนิลเนตรล่ะซี”
เกียรติภูมินิ่งอึ้งเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ายอมรับจากใจ แต่มันก็ดูจะสายไปเสียแล้ว เพราะบางทีนิลเนตรอาจ...
“ถ้านายชอบนิลเนตรจริงๆ ก็ทำใจเย็นหน่อยดีกว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เราจะทำอะไรได้ทั้งนั้น ฉันว่านิลเนตรคงยังไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้รัชกาลที่๑ทรงบาดเจ็บสาหัส เรื่องที่จะใช้กำลังเข้าข่มเหงน่ะ เห็นจะทำไม่ได้หรอก”
“พูดอย่างงี้ นายคิดจะก่อกบฏรึไง?” ศิลาถามกวนๆ
“ไอ้บ้า ใครจะก่อกบฎกัน พวกฉันแค่จะหาวิธีช่วยนิลเนตรหนีออกจากเงื้อมมือรัชกาลที่๑ต่างหากเฟ้ย” หมีอ้วนพูดห้วนๆ
“ช่วยทำไมวะ ช่วยให้ยิ่งเดือดร้อนกันไปใหญ่รึไง ยังไม่เข็ดกันอีกเหรอ ตอนนี้พวกเราต่างหากที่กำลังตกที่นั่งลำบากกันอยู่ ส่วนนิลเนตรน่ะไปสบายแล้ว เขากำลังจะได้ดิบได้ดี เป็นถึงพระสนมเชียวนะ ป่านนี้คงลืมเรื่องพวกเราไปหมดแล้วด้วยซ้ำ แล้วเรายังจะไปห่วงทำไม พวกเราต่างหากที่จะต้องมานั่งห่วงตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าจะโดนประหารกันเมื่อไหร่”
“แล้วที่เราเดือดร้อนแบบนี้น่ะ มันเพราะใครกัน” ธิติมาโมโหจนบอกไม่ถูก
“จะโทษฉันคนเดียวรึไง คนที่ปากสว่างน่ะ มันเจ้าหมีอ้วนต่างหากไม่ใช่หรือ ถ้ามันไม่พูดมากออกมา เรื่องก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก” ศิลากลับโยนว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย
“ใช่ ฉันมันปากไม่ดีเอง ดันแฉเรื่องของนายไปจนหมดเปลือก แต่คนที่ใส่ร้ายรัชกาลที่๑น่ะมันนายต่างหาก คนที่สมควรจะถูกลากไปแดนประหารน่ะ ที่จริงมันน่าจะเป็นนายมากกว่าไม่ใช่รึ ไง เพราะนายอยากจะกล่าวหาว่ารัชกาลที่๑เป็นกบฎต่อพระเจ้าตากสินเอง” หมีอ้วนก็ทำท่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีเพื่อนแบบนี้ด้วย
“รู้สึกว่านายอยากจะเห็นฉันตายเสียจริงๆนะ” ศิลาโกรธจัด
“ก็เออน่ะซี” หมีอ้วนพูดสวน
“โอ๊ย พอกันซะทีได้มั้ย” ปรียานุชโมโหจนทนไม่ไหวอีกต่อไป “พวกนายเป็นผู้ชายประสาอะไร ในสถานการณ์แบบนี้กลับช่วยอะไรไม่ได้เอาเลย นอกจากหาเรื่องทะเลาะกัดกันเองอย่างกับหมาเท่านั้น ฉันก็นึกว่าถ้าได้เข้ามาอยู่ในวัง จะสบายกว่าไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก ที่ไหนได้ ต้องกลายมาเป็นนักโทษ เรื่องทั้งหมดนี้มันก็เพราะพวกนายทั้งสามคนนั่นแหละ ถ้าพวกนายไม่คิดมีเรื่องกับพวกทหาร พวกเราก็ไม่ต้องถูกจองจำแบบนี้แล้ว ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ฉันอยากจะกลับบ้านเต็มทีแล้ว ไม่อยากถูกขังแบบนี้ ใครก็ได้ช่วยไปเอาพระแสงดาบมาเดี๋ยวนี้เลย ฉันอยากจะกลับบ้าน ฉันเบื่อที่นี่ ไม่อยากจะอยู่ในที่เฮงซวยแบบนี้อีกแล้ว ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมถึงมีแต่นิลเนตรคนเดียวที่ได้เฝ้ารัชกาลที่๑ แล้วพวกเราต้องมาถูกกักบริเวณกันแบบนี้ ฉันอยากกลับบ้าน ฉันอยากกลับบ้าน ไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่แบบนี้”
เธอกรีดเสียงร้องแหลมออกมาดังๆอยู่เป็นครู่ กว่าจะสงบลงโดยทันควัน ทำให้ห้องเหมือนเงียบกริบ
ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งกันไปครู่ใหญ่
“นั่นซี ถ้ามีพระแสงดาบ เราก็จะสามารถช่วยพานิลเนตรกลับบ้านได้แน่” ภาคินีพูดขึ้นมา
“ใช่ ถ้ามีพระแสงดาบ พวกเราก็จะได้กลับบ้าน แล้วก็ไม่ต้องถูกสั่งจองจำ คงไม่ต้องตายอยู่ที่นี่” ธิติมาพูด ก่อนจะร้องไห้กระซิกๆออกมา เพราะฟังดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
พวกผู้ชายพากันนั่งซึม ส่วนพวกผู้หญิงก็เอาแต่ร้องไห้กันระงม มหาดเล็กเองก็นิ่งเงียบกริบ นึกๆดูก็น่าสงสาร แต่เขาก็จดจำถ้อยคำทั้งหมดเอาไว้ขึ้นใจ เพื่อนำไปทูลถวายรายงานต่อหลวงท่านตามพระบัญชาโดยไม่ให้ตกหล่น

รัชกาลที่๑มีสีพระพักตร์เครียดจัดจนเห็นได้ชัด ชำเลืองเนตรมองนิลเนตรนิ่งครู่หนึ่ง เด็กสาวก็รีบก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก เธออดรู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะเหมือนกับคนที่ทอดทิ้งเพื่อนๆให้ตกระกำลำบาก มาเสวยสุขอยู่คนเดียวจริงๆ
มหาดเล็กเองหลังจากทูลรายงานเสร็จก็ก้มหน้าลง หลวงราชวงศาก็แทบไม่กล้าพูดอะไรเหมือนกัน
“ท่านเห็นกระไร หลวงราชวงศา?” รัชกาลที่๑ตรัสถามขึ้น หลังจากความเงียบผ่านไปได้ชั่วครู่
หลวงราชวงศาจำต้องน้อมบังคมทูล
“ในเมื่อพวกเทพหาได้มีใจเป็นกบฏไม่ ข้าพระพุทธเจ้าก็ขอเสนอว่าน่าจะแต่งทูตไปเจรจารอมชอมดูเสียจะดีที่สุด เพื่อไม่ให้ เกิดความกินแหนงระแคงใจต่อกัน”
แต่รัชกาลที่๑กลับไม่เห็นด้วย “จะมีประโยชน์กระไร ก็เห็นอยู่แล้วว่าพวกเขาเพียงแต่แค่ต้องการดาบของเราเท่านั้น เด็กพวกนี้เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ได้แต่ทะเลาะกันเอง หาความสมัครสมานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่ พอไม่ได้ดังใจก็เอาแต่โทษคนนี้คนนั้นเรื่อยเปื่อย ไม่เคยคิดที่ทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมืองบ้าง เช่นนี้เองสวรรค์จึงพิโรธส่งพวกเขามาเพื่อให้เราเป็นคนอบรมสั่งสอน ดังนั้น เราก็จะช่วยลงโทษให้สาสมเป็นการสมควรที่สุดแล”
นิลเนตรได้ฟังก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่ารัชกาลที่๑หมายความว่าอย่างไร ที่รับสั่งว่าจะลงโทษให้สาสม
“แล้วแต่จะทรงโปรดเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศาไม่คิดจะคัดค้านแต่อย่างใด
“หากท่านไม่คัดค้าน ก็ขอจงให้แต่งคนไปทูลขอพระแสงดาบจากพระพี่นางของเรา และเรียกเหล่าเทพมาที่ท้องพระโรงให้อยู่กันพร้อมหน้า เราจะหักดาบทิ้งให้ดูต่อหน้าพวกเขาเสีย พวกเขาจะได้ตัดใจ และเลิกหวังลมๆแล้งๆกันเสียที”
“ฝ่าบาท!” นิลเนตรอุทาน
แต่รัชกาลที่๑ทำพระทัยแข็ง ไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศารับพระราชบัญชา แล้วก็รีบออกจากห้องไปโดยเร็ว

ด้วยเหตุนี้เหล่าเทพกำมะลอทั้งหมด ไม่เว้นนิลเนตรกับภาคินีก็ถูกพามาที่ท้องพระโรง และต่อหน้าเหล่าข้าราชการทั้งหลายที่มาเข้าเฝ้าในเช้าวันนั้น
พระแสงดาบถูกอัญเชิญใส่พานเข้ามาน้อมถวาย รัชกาลที่๑ทรงหยิบขึ้นมาและหักดาบออกเป็นสองเสี่ยงอย่างไม่ไยดี ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ภายในห้อง
นิลเนตรและพวกเพื่อนพ้องเห็นกับตาเช่นนั้น ก็ได้แต่นิ่งอั้นไปกันหมด ความหวังอย่างเดียวที่จะได้กลับบ้านก็พังทลายไปในพริบตานั้นเอง
เมื่อไม่มีพระแสงดาบ พวกเขาก็ไม่สามารถกลับบ้านได้อีกต่อไป
"ทรงมีพระกระแสรับสั่ง ให้คุมตัวเทพทั้งหกไว้ภายในพระตำหนัก ห้ามออกนอกเขตพระราชฐาน หากมิเชื่อฟัง ให้ประหารได้ในทันที มิต้องรายงาน” ทหารหลวงผู้หนึ่งอ่านรายงานประกาศออกมา
หมอหลวงเข้ามาดูพระอาการ และจัดพระโอสถให้เสวย หลังจากดื่มพระโอสถที่มีรสขม ก็ทรงตรัสออกมาว่า “เราเกลียดยาเสียจริง”
“แต่ถ้าทรงอยากหายไวๆ ก็ต้องดื่มพระโอสถนะพระพุทธเจ้าค่ะ” หมอหลวงกลับทูลเช่นนั้น
หลังจากนั้นหมอหลวงก็ทูลลากลับ รัชกาลที่๑ก็สังเกตเห็นนิลเนตรนั่งเหม่ออยู่ข้างหน้าต่าง จึงทรงดำเนินเข้าไปใกล้ แล้ววางพระหัตถ์บนไหล่คู่นั้น
“หรือเจ้ายังคิดหวังจะกลับบ้านอยู่อีก?” ทรงรับสั่งถามขึ้นด้วยสุรเสียงเคลือบแคลงจนเห็นได้ชัด
นิลเนตรหันกลับมายิ้มเพียงน้อยๆ
“พระแสงดาบก็ไม่มีแล้ว หม่อมฉันยังจะหวังเช่นนั้นอยู่ได้อย่างไรอีกเพคะ?”
“เช่นนั้นเจ้ายังเหม่อกระไร?”
“หม่อมฉันแค่เป็นห่วงแม่ของหม่อมฉัน ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะอยู่ตัวคนเดียวได้หรือไม่” นิลเนตรพูดเสียงเศร้า แต่ก็จำต้องตัดใจ เพราะไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
รัชกาลที่๑อึ้งเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ไขได้อีก เพราะพระแสงดาบได้ถูกทำลายทิ้งไปแล้วต่อหน้าทุกคน ทรงให้คนนำไปฝังทิ้งไว้นอกพระนครตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ทุกประการ
“เจ้าคงโกรธที่เราหักดาบทิ้งเสียใช่ไหม?” รัชกาลที่๑ทรงถามเหมือนจะยอมรับในความผิดของพระองค์
“อย่าทรงคิดมากเลยเพคะ เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว หม่อมฉันเข้าใจดี ที่พระองค์ทรงทำไปก็เพราะต้องการลงโทษพวกเรา”
“ขอถามสักประโยคได้ไหม? ใจจริงแล้ว เจ้ายังต้องการจะกลับไปพบอาจารย์ของเจ้าใช่หรือไม่?”
นิลเนตรนิ่งอึ้งเล็กน้อย
“หม่อมฉันคงไม่มีวันได้กลับไปพบอาจารย์อีกแล้ว เมื่อไม่มีพระแสงดาบ ก็ไม่มีหนทางอื่น ป่วยการที่จะพูดถึงเรื่องนี้”
“เราจะแทนที่อาจารย์ของเจ้ามิได้หรือ?”
นิลเนตรเงยหน้าสบพระเนตรที่ทอดมาอย่างวิงวอน
“เจ้าลืมเรื่องทุกอย่างในโลกของเจ้า แล้วอยู่กับเราที่นี่เสียเถิด” ทรงจับมือนั้นขึ้นมาจุมพิตเบาๆ
นิลเนตรฝืนยิ้มน้อยๆ เพราะตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกเป็นอื่นอีกแล้ว เธอบีบพระหัตถ์นั้นเบาๆเพื่อตอบสนองพระหฤทัย
รัชกาลที่๑เข้าพระทัยความหมาย จึงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ อย่างพอพระทัย ทรงประคองกอดร่างนั้น นิลเนตรก็เอียงศีรษะซบกับพระอุระ หวังขอเป็นที่พึ่งพิงต่อไป

"ขอเดชะ ท่านเกียรติภูมิ ท่านหมีอ้วน และท่านศิลาจะขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าค่ะ” มหาดเล็กเข้ามาทูลถวายให้ทรงทราบ
รัชกาลที่๑เพียงแต่เลิกขนงเล็กน้อย ก่อนรับสั่งอนุญาตให้ทั้งสามคนเข้าเฝ้าได้
เกียรติภูมิ หมีอ้วน และศิลาจึงได้เข้ามาถวายบังคมต่อหน้าเบื้องพระพักตร์โดยพร้อมเพรียง
“พวกเจ้ามีกิจอันใดกับเราหรือ?” ทรงรับสั่งถาม
ทั้งสามคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เกียรติภูมิจะบังคมทูลออกไป
“พวกเราทั้งสามจะมาทูลขอฝึกวิชาการยุทธ์พะเจ้าค่ะ”
ทำเอารัชกาลที่๑ประหลาดพระทัยไม่น้อย นิลเนตรเองอดคาดไม่ถึง
“พวกเจ้าจะฝึกการยุทธ์ไปเพื่อการใด?” รับสั่งถามสงสัย
“พวกเราอยากจะขอรับราชการเพื่อสนองเบื้องยุคคลบาท แต่ถ้าทำอะไรไม่เป็น พวกเราคงเป็นได้เพียงแค่กาฝาก อยู่ไปก็คงจะเป็นที่อับอายอย่างยิ่ง”
รัชกาลที่๑จึงแย้มพระโอษฐ์พอพระทัยอยู่ไม่น้อย
“ในเมื่อพวกเจ้าได้คิดเช่นนั้น ก็มิเสียแรงที่เราได้อุตส่าห์ลงทุนหักดาบไปเล่มเดียว”
มหาดเล็กจึงทูลว่า
“นั่นเพราะพระองค์ปรีชาสามารถ จึงทำให้เหล่าเทพได้สติกัน เช่นนี้เทพเบื้องบนก็คงจะพากันปลื้มปิติ และกล่าวสรรเสริญพระองค์เป็นแน่แท้พระพุทธเจ้าค่ะ”
รัชกาลที่๑ก็ดูพอพระทัยในคำเยินยอนั้นอยู่
“หากพวกเจ้ามีเจตนาเช่นนี้ ขอให้พวกเจ้าทุกคนจงมุ่งมั่นตั้งใจช่วยงานราชการเพื่อบ้านเมืองของเราสืบต่อไป เชื่อว่าในภายหน้า...ความดีงามของพวกเจ้าจะต้องเป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าทวยเทพ เมื่อกาลนั้นมาถึง พวกเจ้าก็จะได้กลับไปยังบ้านเมืองของพวกเจ้าเอง ไม่ต้องอาศัยดาบเล่มใดๆในโลกนี้ดอก” รัชกาลที่๑มีกระแสรับสั่งเป็นการสั่งสอนไปด้วย
ทั้งสามคนมองหน้ากันเองชั่วครู่ ก่อนจะน้อมบังคมถวายเพื่อรับพระบรมราโชวาทนั้นแต่โดยดี
จากนั้นเกียรติภูมิก็หันมามองนิลเนตร สีหน้าของเขาดูจะเสียใจอยู่ลึกๆ
“เธอสบายดีมั้ย?” เขาถามอย่างเกรงใจ เพราะยังคงอยู่ต่อหน้ารัชกาลที่๑ แต่ถ้าไม่ถามให้แน่ใจ เขาคงไม่มีวันสบายใจ
นิลเนตรยิ้มให้เขานิดๆ
“นายอย่าเป็นห่วงเราไปเลย เราไม่เป็นไรหรอก พวกนายต่างหากที่ต้องห่วงตัวเอง เลิกเอาแต่ใจกันเสียที แล้วตั้งใจทำงานให้ดีๆ ตอบสนองที่หลวงท่านอุตส่าห์มีใจเมตตาคิดชุบเลี้ยงพวกเรา”
ทั้งสามคนทำหน้าเข้าใจดี ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดไม่มีทางเลือกอื่นกันแล้ว เพราะไม่เหลือความหวังที่จะกลับบ้านได้อีกต่อไปด้วยซ้ำ ได้แต่กราบถวายตัวเพื่อขอพึ่งบพิตรพระราชสมภาร
จากนั้นพวกเขาก็พากันกราบทูลลาจากไปเงียบๆ>

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป