หน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 11 12 13 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๑๐...

"ถ้ารัชกาลที่๑ทรงเป็นอะไรไปล่ะก็ พวกเรามีหวังไม่ได้กลับบ้านอีกแน่เลย” ธิติมาพูดแล้วชักอยากร้องไห้ออกมา
“อย่าพูดอะไรไม่เป็นมงคลแบบนั้นซี ท่านไม่มีทางเป็นอะไรหรอก” ปรียานุชไม่ยอมเชื่อว่ารัชกาลที่๑จะมาสวรรคตเพราะเรื่องแค่นี้
“แหม มันก็ไม่แน่นี่นา ตอนนี้ประวัติศาสตร์มันเริ่มกลับตาลปัตรไปแล้วนะ”
“ถ้ารัชกาลที่๑เป็นอะไรไปจริง ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่ได้กลับบ้านเท่านั้น แต่ประเทศของเราอาจถึงกับพ่ายแพ้พวกพม่าก็ได้ ถ้าพวกทหารรู้เรื่องนี้เข้า จะต้องเสียขวัญกันหมด คงไม่มีใจไปสู้รบแน่ เพราะงั้นรัชกาลที่๑ถึงสั่งห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป” นิลเนตรพูด จำได้ว่าก่อนพระองค์สิ้นสติได้รับสั่งเช่นนั้น
ทุกคนจึงนิ่งอึ้งไปกันหมด ภาพที่ทรงถูกยิงนั้นยังคงติดตาพวกเขาอยู่ไม่หาย
“ต้องเป็นฝีมือพี่โมกพี่เช้งแน่” หมีอ้วนพูดอย่างมั่นใจ
“ก็ไม่แน่หรอก อาจเป็นฝีมือพวกอื่นก็ได้” ศิลาพูด
“พวกไหนอีก? นายคิดว่าจะมีพวกไหนที่อยากให้รัชกาลที่๑สิ้นพระชนม์อีก ท่านไม่มีศัตรูที่ไหนนะเฟ้ย”
“ถึงงั้นก็เถอะ เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราเลยนี่ ถ้าคิดจะโทษว่าฉันอีกล่ะก็ พวกนายก็มีส่วนเหมือนกันแหละ ถ้าหากพวกนายไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้สองคนนั้นฟัง เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก เพราะงั้นจะมาโทษฉันคนเดียวได้ไง ถ้าผิด ก็ต้องผิดด้วยกันหมดนั่นแหละ”
คนอื่นๆได้ฟังก็มองเขาอย่างไม่พอใจกันหมด แต่ก็ไม่มีใครเถียงได้ว่าไม่มีส่วนจริงๆ
“แต่ถ้ารัชกาลที่๑เป็นอะไรไปจริงๆ นายกับพวกฉันก็คงจะต้องตายอยู่ที่นี่ด้วยกันแหละ” นิลเนตรพูดอย่างเหลืออด
“ใช่ แล้วถ้าถูกจับได้ว่านายเป็นตัวการที่ป้ายร้ายท่าน เราก็คงได้ถูกตัดหัวเสียบประจานแน่” ธิติมาเห็นด้วย
ศิลาหน้าผิดสีเล็กน้อย เมื่อได้คิดเช่นนั้น
“มาจนป่านนี้แล้ว นายน่าจะยอมรับความผิดของตัวเองซะ ที ก่อนที่จะไม่มีใครยอมคบกับนายอีกต่อไป” เกียรติภูมิพูดกับเขา
“ไม่อยากคบก็อย่าคบซี นึกว่าฉันอยากง้อพวกนายนักหรือไง” ศิลาพูดห้วนๆ ก่อนกระแทกเท้าเดินออกจากห้อง
“หนอย ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ” หมีอ้วนโมโห
“คนอย่างนั้นน่ะ ช่างไปเถอะ อย่าสนเลย” ปรียานุชเองก็ไม่อยากสนใจคนแบบนั้นอีกแล้ว
นิลเนตรเห็นใบหน้าเหม่อๆของภาคินีก็นึกเป็นห่วง
“เป็นไรหรือเปล่า? หรือพวกเราทำให้ปวดหัว?”
“เปล่าหรอก ฉันแค่เป็นห่วงรัชกาลที่๑น่ะ หวังว่าท่านคงไม่เป็นไรจริงๆ”
“ไว้เธอหายเมื่อไหร่ เราค่อยไปทูลขอพระแสงดาบด้วยกันนะ” นิลเนตรพูด
ภาคินีจึงยิ้มนิดๆ
ภรรยาของบาทหลวงมาเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา
“หลวงราชวงศามาขอพบแน่ะ”
ทุกคนประหลาดใจมาก แต่ก็รีบพากันออกไป เพราะคิดว่าคงจะมีข่าวรัชกาลที่๑ก็ได้
ศิลาเองก็อยู่ด้วย แต่เขาไม่มีท่าทางพูดอะไรทั้งนั้น
“มีอะไรหรือครับ?” เกียรติภูมิเป็นคนถาม
“ข้าน้อยอยากจะมาเรียนเชิญท่านเทพ ช่วยไปดูพระอาการของหลวงท่านด้วย” หลวงราชวงศาหันมาพูดกับนิลเนตรตรงๆ
ทุกคนได้ยินก็ชักตกใจขึ้นมา
“พระอาการท่านหนักมากหรือคะ?” นิลเนตรถาม
“ก็เอาการอยู่ ตอนข้าน้อยมา ก็ยังไม่ฟื้นเลย”
“แต่หนู...” นิลเนตรไม่รู้ว่า เธอจะช่วยอะไรได้
“ขอแค่ท่านเทพไปช่วยดูแลพยาบาล เราเชื่อว่าพระอาการของท่านต้องดีวันดีคืนได้แน่”
“ถ้างั้น...ก็ได้ค่ะ” นิลเนตรจำต้องรับปาก
“เช่นนั้นขอท่านเปลี่ยนเครื่องทรงที่เราเตรียมมาด้วย”
หลังจากนั้นนิลเนตรก็ไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วจึงติดตามหลวงราชวงศาไปเข้าเฝ้า
ทุกคนทำหน้างุนงงกันอยู่ ไม่เข้าใจอะไรเลย
“มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงต้องเป็นยายนิลเนตรด้วย?” ปรียานุชดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“อะไร? อิจฉารึไง?” ศิลาทำท่าขำ
“ว่าไงนะ?”
“หรือไม่จริง? จู่ๆนิลเนตรก็ได้เข้าวัง คอยเข้าเฝ้าใกล้ชิดเบื้องยุคคลบาท แบบนี้เชื่อขนมกินได้ นิลเนตรต้องได้กลายเป็นพระสนมแน่ๆ ไม่ได้กลับไปพร้อมพวกเราหรอก”
ทุกคนอึ้งไปกันหมด
“เอาไงดี? เกียรติภูมิ?” หมีอ้วนชักตกใจขึ้นมา
“จะเป็นไปได้ยังไง นิลเนตรไม่ใช่คนของโลกนี้ ที่สำคัญอายุก็ห่างกันขนาดนั้น” เกียรติภูมิรู้สึกยอมไม่ได้
“จะอายุห่างกันแค่ไหนก็ไม่เห็นเกี่ยว นายคิดว่าที่นี่มันที่ไหนกัน ที่นี่คือกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ใช่กรุงเทพที่เราเคยอยู่นะ หากเป็นแผ่นดินสมัยรัชกาลที่๑ ที่ท่านมีอำนาจปกครองสูงสุด ใต้แผ่นฟ้านี้ มีอะไรบ้างที่ท่านอยากได้แล้วจะไม่ได้ ถ้าท่านต้องการจริงๆ นายคิดว่าตัวเองจะมีปัญญาขวางได้รึไง” ศิลาย้อนถาม
เกียรติภูมิได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ เพราะพูดไปก็จริงอย่างที่ศิลาพูดทุกอย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ เขาควรจะทำอย่างไรดี

นิลเนตรตามหลวงราชวงศาไปเข้าเฝ้าถึงห้องบรรทม แล้วจึงเห็นว่ารัชกาลที่๑ทรงฟื้นคืนสติแล้ว
“ฝ่าบาท ทรงปลอดภัยดีหรือเพคะ?” นิลเนตรดูดีใจมากจนบอกไม่ถูก
เห็นเธอดีใจมากขนาดนี้ ก็ทรงอดปลื้มปิติไม่ได้
“ขอบใจมาก ที่เป็นห่วงเรา” รัชกาลที่๑กล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยน
“...เอ้อ...” นิลเนตรรู้สึกกระดากขึ้นมา “หลวงราชวงศาขอให้หม่อมฉันมาดูอาการพระองค์เพคะ”
“เรารู้แล้ว หากเจ้าไม่รังเกียจล่ะก็ เราอยากจะขอเชิญเจ้าอยู่ร่วมทานอาหารมื้อเย็นกับเราด้วย”
“หม่อมฉันมิกล้าคิดเช่นนั้นหรอกเพคะ หม่อมฉันสมควรรู้สึกเป็นเกียรติ์มากกว่า”
รัชกาลที่๑จึงแย้มพระโอษฐ์นิดๆ ท่าทางพอใจหน่อยๆ ทำเอานิลเนตรใจเต้นตุ้บแรงขึ้นมา ขณะนั้นเอง สายตาของเธอก็พลันไปเห็นพระแสงดาบที่วางอยู่บนโต๊ะพระข้างที่ เธอจ้องไปที่มันตาเป๋งอยู่เป็นครู่
ทั้งรัชกาลที่๑และหลวงราชวงศาสังเกตเห็นท่าทางที่ดูผิดไปของเธอ ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดแสงประหลาดขึ้นเปล่งออกมาจากดาบเล่มนั้น ทั่วทั้งห้องราวถูกห่อหุ้มด้วยแสงนั้น ทำเอาบรรดามหาดเล็กและนางในที่อยู่ห้องเดียวกันตกใจแทบขวัญหนีไปหมด
ร่างของนิลเนตรก็เหมือนกับจะละลายหายไปต่อหน้า แต่หลวงราชวงศาก็รีบไปคว้าพระแสงดาบไว้ แสงทั้งหมดก็หายไปในพริบตา
หลวงราชวงศาเป็นฝ่ายได้สติก่อนใคร เขารีบนำพระแสงดาบนั้นไปมอบให้กับมหาดเล็กที่ยังมีอาการตกใจอยู่ไม่หายที่บังเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ขึ้นมา
“นำไปเก็บไว้ในตู้ และลั่นบานไว้ให้ดีๆ” หลวงราชวงศาสั่งเขาเสียงเฉียบ
มหาดเล็กผู้นั้นรู้สึกตัว ก็รีบนำพระแสงดาบไปเก็บไว้ในตู้ พร้อมกับลั่นกุญแจไว้แน่นหนา
นิลเนตรจึงได้แต่นิ่งอึ้งเล็กน้อย ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แต่เท่านี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า ตัวเชื่อมที่จะพาทุกคนกลับไปยังโลกเดิมคือพระแสงดาบจริงๆ
รัชกาลที่๑ยกพระหัตถ์แตะที่พระอุระเล็กน้อย ท่าทางคงจะยังปวดแผลอยู่ นิลเนตรจึงรู้สึกตัว ทำท่าจะขยับเข้าไปใกล้
“หลวงราชวงศา” จู่ๆก็เรียกอีกฝ่าย
“พระพุทธเจ้าค่ะ?” หลวงราชวงศารีบขยับเข้ามาใกล้ เพื่อรับฟังพระบัญชา
“เราเป็นห่วงเทพอีกหกองค์ ปล่อยให้อยู่ข้างนอกเยี่ยงนี้ หากว่าศัตรูเปลี่ยนใจ หันไปทำร้ายพวกท่าน ใครจะทำหน้าที่คอยคุ้มครอง ดังนั้นเราจึงอยากให้ท่านหาทางพาเทพทั้งหกย้ายมาพำนัก เสียอยู่ที่นี่ด้วยกันหมด ท่านจงช่วยเร่งหาวิธีด้วยเถิด”
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าพระพุทธเจ้าขอบังคมลาตรงนี้”
จากนั้นหลวงราชวงศาก็รีบออกไป เขาคิดว่าควรจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลกรมพระราชวังบวรเสียก่อน

"เป็นความจริงรึ?” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศวร์ดำรัสถามราวกับไม่เชื่อ
“ข้าพระองค์พูดความจริง หาใช่แต่ข้าพระองค์เท่านั้น แม้หลวงท่านแลมหาดเล็ก พวกนางข้าหลวงที่อยู่ในห้องก็เห็นกับตากันหมด มีแสงประหลาดสว่างไสวเปล่งออกมาจากพระแสงดาบได้จริงๆ แล้วตัวท่านนิลเนตรก็เหมือนกับจะหายตัวได้ แต่ตอนนั้นข้าพระองค์รีบเก็บพระแสงดาบเอาไว้ก่อน แสงประหลาดนั้นจึงหาย ไป จากนั้นข้าพระองค์จึงให้คนนำพระแสงดาบไปเก็บไว้ในตู้ แล้วก็ลั่นดานไว้อย่างแน่นหนา” หลวงราชวงศาทูลให้สองพระองค์ได้ทรงทราบด้วยท่าทางดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่า นางเป็นเทพจริง” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศวร์เริ่มเชื่ออย่างสนิทใจ
“ทำเช่นไรดีพระพุทธเจ้าค่ะะ เกิดหลวงท่านพระทัยอ่อน ยอมมอบพระแสงดาบให้ ท่านนิลเนตรก็คงจะไปจากเรา เท่ากับเราได้ปล่อยช้างเผือกหนีกลับเข้าป่า คงยากจะมีโอกาสจับได้อีกเป็นแน่แท้” หลวงราชวงศามีท่าทางวิตกและเสียดายมาก
กรมพระราชวังบวรทำท่าครุ่นคิด เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศวร์เห็นเช่นนั้นก็พูดเสนอว่า
“ก็ขโมยพระแสงดาบเป็นเช่นไรพะเจ้าค่ะ”
เล่นเอาหลวงราชวงศาสะดุ้งไปเลย ไม่ทันคิดว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์จะคิดแผลงๆได้ถึงเพียงนี้
“หาควรไม่ หากพระแสงดาบหายไป จะกลายเป็นเรื่องน่ะซี” กรมพระราชวังบวรไม่เห็นด้วย
“อ้าว แล้วจะปล่อยให้นารีเทพจากเราไปเฉยๆหรือ?”
“ไปขอร้องให้แม่เจ้าช่วยดีกว่า” กรมพระราชวังบวรตรัสเช่นนั้น
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศวร์ก็เลยได้คิดขึ้นมา

จู่ๆสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดีก็ได้พาคนมาขอเข้าเฝ้ากะทันหัน รัชกาลที่๑ประทานอนุญาต พระนางจึงได้เข้ามาถึงในห้องบรรทม
“พี่หญิง มีกิจอันใดกับหม่อมฉันหรือ?” รัชกาลที่๑ดำรัส ถาม
สมเด็จพระเจ้าพี่นางรับสั่งยิ้มแย้มเป็นอันดี ทำท่าราวกับไม่เห็นนิลเนตร ทำเอาเด็กสาวจ๋อยไปสนิท
“หากไม่มีกิจ ก็ไม่อยากมารบกวนดอก เพราะรู้ว่าน้องคงจะมีภาระกิจมาก”
“เช่นนั้นก็รีบพูดธุระของพี่มาเถิด”
“ได้สิ” สมเด็จเจ้าพี่นางพูดยิ้มๆ “คือเช่นนี้ ที่ตำหนักของพี่เกิดสิ่งอัปมงคล มีคนเห็นผีเข้า”
“ผี?” รัชกาลที่๑แทบไม่กะพริบตา ทำท่าไม่ค่อยเชื่อ
“ทีแรกพี่ก็ไม่เชื่อนะ แต่มีหลายคนบอกว่าเห็นจริงๆ พี่ก็เลยชักไม่ค่อยสบายใจ จึงอยากจะมาขอยืมของวิเศษสิ่งหนึ่ง เอาไว้ไปกำราบผีอย่าได้ฮึกเหิมนัก”
“ของวิเศษ? ของวิเศษอันใด?”
“ก็พระแสงดาบอย่างไรเล่า” พระพี่นางพูดไม่รู้ไม่ชี้
เล่นเอารัชกาลที่๑อึ้งไปเลย นิลเนตรเองก็แทบไม่กะพริบตา ชักรู้สึกว่าเรื่องนี้มันยังไงๆอยู่
“อย่าบอกนะ ว่าให้ยืมไม่ได้ พี่อุตส่าห์มาขอร้องด้วยตัวเอง น้องจะทำใจดำ ไม่ให้พี่ยืมจริงๆเชียวหรือ ทีคนอื่นที่ไม่ญาติ น้องยังรับปากจะยกให้ได้ พี่เป็นพี่แท้ๆ แค่จะมาขอยืมไปใช้หน่อย น้องกลับทำใจดำ คิดปฏิเสธ หรือเห็นคนนอกดีกว่าพี่เชื้อแท้ๆ” สมเด็จเจ้าพี่นางพูดตัดพ้อต่อว่า ทำท่าน้อยอกน้อยใจเต็มที
“หามิได้ แต่หม่อมฉันสงสัย เหตุใดพี่หญิงถึงได้เชื่อมั่นว่าดาบของหม่อมฉันจะช่วยไล่ผีได้” รัชกาลที่๑ถาม
“อ้าว ก็หลวงราชวงศาเล่าให้ฟัง ถึงกับสบถสาบานว่าเป็นเรื่องจริง เพลานี้ผู้คนเขาลือกันไปทั่ววังหลวง ว่าพระแสงดาบนั้นมีอิทธิฤทธิ์นัก จู่ๆก็ส่องแสงประหลาดขึ้นมาได้เอง น้องเองก็เห็นกับตาไม่ใช่รึ แล้วยังจะให้คิดอย่างไร”
รัชกาลที่๑แทบพูดไม่ออก
“หลวงราชวงศาก็กล่าวเกินไป แท้ที่จริงมันก็เป็นแค่ดาบธรรมดา”
“ดาบธรรมดาจะส่องแสงได้ด้วยรึ แล้วน้องจะตกลงให้พี่ยืมได้หรือเปล่า พี่จะขอยืมไปชั่วระยะ เสร็จแล้วจะคืนให้ทีหลัง”
“แล้วจะคืนเมื่อใด?”
“ก็เมื่อเสร็จงาน”
รัชกาลที่๑ถอนใจออกมา
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะให้คนนำไปถวายให้ทีหลัง”
“หาจำเป็นไม่ พี่จะให้เด็กของพี่นำไปบัดนี้” สมเด็จพระพี่นางหันไปพยักพระพักตร์ให้กับนางข้าหลวงผู้ติดตามคนสนิท แล้วนางผู้นั้นก็รีบไปช่วยกันนำพระแสงดาบออกมาจากตู้
“ได้แล้วเพคะ” นางข้าหลวงทูลยิ้มๆ
“เช่นนั้นพี่กลับล่ะ” สมเด็จพระพี่นางกล่าวยิ้มๆ ชำเลืองหางตามองนิลเนตรเล็กน้อย ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไปเลย
รัชกาลที่๑มีสีพระพักตร์ดูละอายใจอยู่ เมื่อต้องหันมามองสบตาเด็กสาวที่ได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่กล้าพูดอะไรเลย
“ข้าขอโทษ” รับสั่งอย่างเสียใจจริงๆ
“ไม่เป็นไรเพคะ รอไว้จนพระพี่นางของฝ่าบาทเสร็จงานก่อนก็ได้ ถึงตอนนั้น หม่อมฉันค่อยขอยืมบ้างนะเพคะ” นิลเนตรพูดเบาๆ ทำท่าเข้าใจทุกอย่างดี
รัชกาลที่๑ได้แต่พยักพระพักตร์ หวังว่าสมเด็จพระพี่นางจะรีบนำพระแสงดาบมาคืนโดยเร็วที่สุด

อ้า หลีกไป อย่าเกะกะ” ปรียานุชพูดห้วนๆ ใช้ไหล่ข้างหนึ่งดันตัวศิลาที่ยืนขวางประตูอยู่ พยายามจะเอาอ่างน้ำขนเข้าห้องของคนเจ็บ
“อะไร ทำท่าอย่างกับเห็นคนอื่นเป็นตัวเกะกะทางไปได้” ศิลาพูดห้วนๆอย่างไม่พอใจ
ปรียานุชเองก็กำลังอารมณ์เสียอยู่ เพราะเจ็บใจที่นิลเนตรได้เข้าเฝ้า ขณะที่ตัวเองต้องมาทนอุดอู้อยู่ที่นี่ และยังต้องมารับหน้าที่เป็นนางพยาบาลจำเป็นเสียอีก
“ก็ตัวเกะกะน่ะซี นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว ยังชอบคอยหาเรื่องชาวบ้านอีกด้วย คนอย่างนายน่ะ อยู่ไปก็รกโลก น่าจะรีบตายๆไปซะ เมื่อไหร่หลวงท่านถึงจะลากคอนายไปตัดหัวเสียทีนะ”
พูดจบเธอก็เข้าห้องปิดประตูปัง
ศิลาโมโหจัด ดูเหมือนใครๆอยากจะเห็นเขาตายกันนัก
เกียรติภูมิกับหมีอ้วนก็ไม่ยอมพูดกับเขา ส่วนพวกผู้หญิงก็ไม่เคยให้เขาเข้ากลุ่มมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้เขาจึงเหมือนกับคนหัวเดียวกระเทียมลีบ
เด็กหนุ่มโมโหหุนหัน เดินออกมาจากโบสถ์ดุ่มๆ คิดว่าจะไปหาที่ผ่อนคลายเสียหน่อยดีกว่า
ขณะนั้นเอง โมกกับเช้งที่คอยเฝ้าจับตาดูพวกเขาอยู่ ก็ถือโอกาสเดินสะกดรอยตาม พอไปถึงที่ลับตา ก็รีบเข้าไปประกบ
ศิลาตกใจมาก แต่โมกกับเช้งไม่ให้โอกาสเขาส่งเสียงร้องเอ็ดตะโรอีก รีบใช้มือปิดปาก แล้วลากตัวไปจากที่นั่น
พอมาถึงที่ปลอดภัย และแน่ใจแล้ว ก็ปล่อยตัวเด็กหนุ่ม
“เอาล่ะ เรามาตกลงกันดีๆดีกว่า จะยอมร่วมมือกับเราด้วยหรือไม่” โมกถามห้วนๆ น้ำเสียงฟังข่มขู่
“ถ้าผมไม่ยอม พวกคุณจะทำอะไรผม?” ศิลาถามอย่างนึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เช้งยิ้มชวนให้ขนลุกซู่
“ก็คิดดูเอาเองซี” เขาพูดเสียงกระโชก
ศิลาทำท่ากลัวเขาจนเห็นได้ชัด
“เอาน่า ไหนๆเราก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เจ้าเองก็ไม่ได้ชอบหลวงท่านเสียเท่าไหร่มิใช่หรือ หาไม่จะพยายามป่าวประกาศว่าท่านเป็นกบฏไปเพื่อกระไร เรามาร่วมมือกันดีกว่า” โมกพูด
"พี่โมก พี่เช้ง เรื่องที่รัชกาลที่๑เป็นกบฎน่ะ มันไม่เป็นความจริงหรอก ผมแค่แต่งเรื่องมาเล่นๆสนุกๆเท่านั้นเอง ท่านจะเป็นกบฎได้ยังไง คนทั้งเมืองต้องรู้ซี” ศิลาพูดเตือนสติ
“มาพูดยามนี้มันได้กระไร?” เช้งถามห้วนๆ ท่าทางเลือดบ้าขึ้นหน้า ดูจะจนตรอกเต็มทีแล้ว
ศิลาจึงนิ่งเงียบกริบ
“อ้ายพวกขี้ขลาดนั่น ไม่มีใครยอมเชื่อที่พวกเราพูดกันสักคน คิดจะจับเราส่งให้พวกเจ้าหน้าที่การเมือง” โมกเล่าสถานการณ์ของตนเองให้ทราบว่ากำลังเดือดร้อนขนาดไหน
“ตอนนี้เราสองคนมีค่าหัวเป็นขบฏต่อแผ่นดินแล้ว ถ้าถูกจับได้ก็มีหวังตายสถานเดียว ไหนๆก็ตายแล้ว เจ้าก็ตายไปพร้อมกับเราด้วยซี ในข้อหาเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ถ้าเราถูกจับ เราจะแฉให้หมด ว่าเจ้าเป็นคนตัวการยุยงปลุกปั่นเราเอง”
ศิลาหน้าซีดในบัดดล
“แล้วพี่จะให้ผมทำอะไร?”
“เพลานี้เราต้องการที่หลบซ่อน พวกทหารหลวงกำลังตามล่าเราสองคนอยู่ เชื่อว่าเจ้าต้องหาที่หลบซ่อนดีๆให้เราได้แน่”
“ที่หลบซ่อน? จะให้ผมหาที่หลบซ่อนที่ไหนได้?”
“ในไม่ช้า หลวงท่านจะต้องเรียกตัวพวกเจ้าทั้งหมดเข้าวังไม่ใช่หรือ หากเจ้าหาทางช่วยพวกเราได้ซ่อนตัวในวัง เราเองก็จะได้มีโอกาสกำจัดคนทรยศเพื่อล้างแค้นให้พระเจ้าตากสินด้วย”
ศิลาหน้าซีด เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี หากไม่ยอมช่วยสองคนนี้ เขาคงถูกฆ่าทิ้งที่นี่ หรือถ้าทั้งสองคนเกิดถูกจับได้ หรือยอมไปมอบตัว เขาเองก็ไม่แคล้วต้องโทษประหารอยู่ดี
ตอนนี้เขาเหมือนคนที่ขึ้นขี่หลังเสือ แล้วหาทางลงไม่ได้

ศิลากลับมาถึงโบสถ์ก็พบหลวงราชวงศามารออยู่ คนอื่นๆ ก็กำลังออกมาต้อนรับพร้อมหน้าพร้อมตา
“พร้อมหน้ากันก็ดีแล้ว” หลวงราชวงศาเห็นศิลากลับมาก็ค่อยวางใจ “หลวงท่านมีพระบัญชาให้เราเชิญพวกท่านทุกคนเข้าไปพักอยู่ในวัง เพราะข้างนอกหาได้ปลอดภัยไม่ หลวงท่านทรงเป็นห่วงพวกเจ้าทุกคนจะต้องตกอยู่ในอันตราย จึงให้ข้าน้อยหาวิธีพาพวกเจ้าทั้งหมดเข้าวังอย่างปลอดภัย”
“แล้วภาคินีล่ะครับ?” เกียรติภูมิไม่แน่ใจ
“ข้าน้อยได้ให้ช่างต่อรถเทียมม้าขึ้นมา เราจะนำท่านย้ายไปเข้าวังด้วยสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ ไม่ต้องห่วง เราได้พาหมอหลวงมาด้วย หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง หมอหลวงจะเป็นคนคอยดูแลพระอาการให้ท่านภาคินีเอง”
ทุกคนมองหน้ากันเอง คิดว่าวิธีนี้ก็อาจจะดีก็ได้
“เช่นนั้นพวกท่านจงไปเก็บข้าวของ แล้วตามพวกข้าน้อยเข้าวังด้วยเถิด” หลวงราชวงศากล่าว
ทุกคน ยกเว้นศิลา มีอาการดีใจจนออกนอกหน้าเห็นได้ชัด เพราะจะได้ไม่ต้องทนลำบากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงไปเก็บข้าวของกัน หลวงราชวงศาได้ให้เหล่าบริวารช่วยกันขนย้ายภาคินีไปขึ้นรถเทียมม้า พวกผู้หญิงเองก็ตามเข้าไปนั่งด้วย เพื่อจะได้ช่วยดูแลอาการของภาคินีอีกต่อ ส่วนพวกผู้ชายก็ต้องขึ้นหลังช้าง พากันออกเดินทางในลักษณะเช่นนี้

ระอาการของรัชกาลที่๑ไม่สู้ดีนัก จู่ๆก็มีไข้ขึ้นมา และละเมอเพ้อพกออกมาเป็นบางครั้ง นิลเนตรต้องใช้ผ้าชุบน้ำเย็นนำมาเช็ดพระนลาฏและพระวรกายเพื่อลดอาการไข้ เธอบอกให้คนรีบไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท
“ให้ตามหมอหลวงไหมเจ้าคะ?” นางสนองพระโอษฐ์ผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างตื่นตระหนกตกใจอยู่ไม่น้อย
นิลเนตรพยักหน้า แล้วนึกขึ้นมาได้
“ตามหมอฝรั่งดีกว่านะ” เธอไม่ค่อยไว้ใจหมอไทยที่ยังคงยึดถือวิธีรักษาแบบงมงายเท่าไหร่
นางสนองพระโอษฐ์จึงได้ใช้ให้มหาดเล็กรีบไปตามหมอฝรั่งเพื่อมาถวายการรักษาโดยด่วน
นิลเนตรถอดฉลองพระองค์เสื้อให้รัชกาลที่๑ เห็นบาดแผลดูมีอาการบวมแดงไปหมด ก็นิ่งอึ้ง
“คงมีอาการอักเสบ รีบไปหายาล้างแผลมาที” นิลเนตรหันไปบอก
“ยาล้างแผล?” นางสนองพระโอษฐ์งุนงง ไม่เข้าใจ
นิลเนตรนึกขึ้นได้ สมัยนี้คงไม่มีของพวกนั้น
“ไปเอาเหล้ามาแล้วกัน” เธอสั่ง
นางสนองพระโอษฐ์จึงรีบไปนำเหล้ามาเหยือก แล้วก็ต้องทำตาโต เมื่อนิลเนตรสาดเหล้าไปบนบาดแผล
“อดทนหน่อยนะเพคะ” นิลเนตรพูดปลอบประโลม
นิลเนตรใช้ผ้าชุบน้ำเย็นบิดหมาดๆ คอยเช็ดพระนลาฎและรอบพระศอไปด้วย
กว่าหมอหลวงจะมาถึงนั้น พระอาการก็เริ่มสงบลงแล้ว
“ไม่เป็นไร แค่มีไข้เล็กน้อยเอง ว่าแต่ทำไมถึงมีกลิ่นเหล้าเหม็นไปหมดล่ะเนี่ย?” หมอหลวงทำจมูกฟุดฟิด
“เอ้อ...ท่านนิลเนตรน่ะเจ้าค่ะ ท่านใช้น้ำจัณฑ์สาดไปบนแผลของหลวงท่าน” นางสนองพระโอษฐ์พูดเหมือนฟ้อง
นิลเนตรจึงหน้าเจื่อนเล็กน้อย รู้สึกถูกตำหนิอยู่
“เจ้าใช้น้ำจัณฑ์สาดไปบนแผลเช่นนั้นหรือ?” หมอหลวงงงไปเล็กน้อย
“ก็บาดแผลของพระองค์ดูจะอักเสบ แต่ที่นี่ไม่มียาฆ่าเชื้อ ฉันเลยต้องใช้วิธีนี้” นิลเนตรพูด
“เจ้ารู้เรื่องการแพทย์ด้วยเช่นนั้นรึ?” หมอหลวงมองเธออย่างนึกทึ่ง
“เปล่าค่ะ ฉันแค่เคยดูในหนังเอง” นิลเนตรพูด
หมอหลวงตีหน้างง ไม่เข้าใจที่เธอพูด
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ช่วยดูพระอาการของรัชกาลที่๑จนท่านเริ่มคืนสติขึ้นมาในตอนหนึ่ง
“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้าง?” นิลเนตรถามอย่างเป็นห่วง
“เราเป็นอะไรไปรึ?” รัชกาลที่๑ถามอย่างสงสัย
“ทรงมีอาการพิษไข้พระพุทธเจ้าค่ะ แต่ท่านนิลเนตรเชี่ยวชาญในการปฐมพยาบาล ทำให้พระอาการของพระองค์ค่อยยังชั่วอย่างรวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ พระองค์ได้นางแก้วอยู่ใกล้เช่นนี้ อย่าทรงปล่อยให้หลุดมือไปนะพระพุทธเจ้าค่ะ” หมอหลวงทูลยิ้มๆ
รัชกาลที่๑จึงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนจะชำเลืองพระเนตรมองนิลเนตรอย่างขอบคุณ เด็กสาวหน้าแดงจัด รู้สึกอายจนบอกไม่ถูก เพราะหมอหลวงพูดเป็นนัยๆเหมือนชี้โพรงให้กระรอก

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป