หน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 10 11 12 13 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๙...

นิลเนตรรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังฝันอยู่ ตอนนี้เธอกำลังจะได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่๑ บุคคลซึ่งอยู่คนละโลกกับเธอ บุคคลที่เป็นเหมือนกับคนในนิทาน บุคคลผู้ซึ่งเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน และมีอำนาจวาสนาล้นหลามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนเริ่มต้น
ถ้าหากใครมาบอกเธอไว้ก่อนว่า เธอจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าท่านอย่างใกล้ชิด เธอคงต้องว่าเขาบ้าแน่ๆ
หลวงราชวงศาให้คนหยุดแคร่หาม เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูราชวัง
“เปิดประตู ข้าจะนำนารีเทพไปเข้าเฝ้าตามรับสั่งของพระเจ้าอยู่หัว” เขาสั่งเสียงเฉียบ
ทหารเวรยามมิมีใครกล้าขัดขวาง ปล่อยให้ทุกคนแบกแคร่หามพานารีเทพเข้าไป แต่หลวงราชวงศาไม่ได้นั่งแคร่ เขาเดินตามมาข้างๆด้วย ทำตัวเหมือนเป็นผู้ถวายอารักขาไม่มีผิด
นิลเนตรสังเกตว่า มีคนมากมายพยายามจะมาคอยแอบดูด้วยความสนอกสนใจกันมาก ท่าทางว่าจะเป็นพวกนางสนมกำนัลเสียเป็นส่วนใหญ่ แสดงว่าข่าวลือเรื่องเทพทั้งเจ็ดคงจะเป็นที่สนใจกันมากทีเดียว
เธอพยายามจะห้ามใจมิให้ตื่นเต้น คิดเสียว่าเป็นการแสดงบนเวทีอะไรสักอย่างเสีย
หลวงราชวงศาเดินมาได้สักระยะ ก็เห็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์เข้าเสียกลางทาง เขาก็เข้าไปทำท่าพินอบพิเทา ทำให้นิลเนตรค่อนข้างแน่ใจว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
“นี่น่ะเหรอ นารีเทพ?” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ทอดพระเนตรมองชื่นชมในความงามของเธอเสียจนปิดไม่มิด เขาถึงกับเชื่อว่าต้องไม่ใช่ของปลอมแน่ เป็นความงามพิศุทธิ์ที่ไม่ต้องปรุงแต่ง
“พะเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศาตอบ
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ยังคงมองนิลเนตรอยู่ด้วยสายพระเนตรชื่นชมเปิดเผย จนหลวงราชวงศาต้องพูดว่า
“ข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่เพ็ดทูล เพราะต้องนำนารีเทพไปเข้าเฝ้าหลวงท่านตามพระราชโองการ” หลวงราชวงศาพูด
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์จึงได้สติขึ้นมา
“ข้ารู้แล้ว เจ้าพานางไปเถิด” เขาหลีกทางให้หลวงราชวงศาโดยดี
หลวงราชวงศาจึงพานารีเทพไปเข้าเฝ้า

รัชกาลที่๑ประทับรออยู่ห้องชั้นในพร้อมกับกรมพระราชวังบวร พอมหาดเล็กเข้ามาทูลว่าหลวงราชวงศามาถึงแล้ว ก็ทรงมีรับสั่งให้เบิกตัวเข้ามาพบได้
หลวงราชวงศาจึงได้พานารีเทพเข้าไปทำการเข้าเฝ้า แต่พอนิลเนตรได้เห็นรัชกาลที่๑ เธอถึงกับตะลึงตาค้างไปเลย
“อาจารย์!” เธออุทาน แทบไม่เชื่อตา ที่เห็นอาจารย์พิชัยมาอยู่ที่นี่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คนอื่นๆทำหน้างงกันไปหมด เมื่อเห็นเธอมีท่าทางเหมือนตกใจเช่นนั้น
“เจ้าเรียกเราว่ากระไรนะ?” รัชกาลที่๑รับสั่งถาม
นิลเนตรจ้องมองเขาแทบจะไม่กระพริบตา เพราะอาจารย์พิชัยพูดเหมือนกับไม่รู้จักเธอเลย
“ท่านเทพ” หลวงราชวงศาเรียกเธอเตือนเบาๆ “ผู้ที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ หาใช่อาจารย์ของท่านไม่ แต่หากคือพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราเองต่างหาก”
นิลเนตรหันไปจ้องเขาตาค้างครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองรัชกาลที่๑อีกครั้ง
“แต่ฝ่าบาทมีพระพักตร์เหมือนกับอาจารย์ของหม่อมฉันแทบเป็นพิมพ์เดียว” นิลเนตรพูดขึ้นหลังจากได้สติ
รัชกาลที่๑แย้มพระโอษฐ์นิดๆ
“เราเหมือนอาจารย์ของเจ้ามากถึงเพียงนั้นเชียวรึ?”
“เพคะ เหมือนมาก” นิลเนตรยอมรับ
ทุกคนจึงมองคนทั้งคู่สลับกันอย่างงุนงงเล็กน้อย
“เป็นดังที่เจ้าว่า” รัชกาลที่๑หันไปกล่าวกับกรมพระราชวังบวร “นารีเทพผู้นี้ยังมีความเป็นมนุษย์มากอยู่จริงๆ”
นิลเนตรหน้าแดงกล่ำ ไม่นึกว่าจะถูกวิจารณ์เช่นนั้น
“ข้าพระพุทธเจ้าก็แค่ฟังมาจากหลวงราชวงศาอีกทีพระพุทธเจ้าค่ะ” กรมพระราชวังบวรดำรัสยิ้มๆ ก่อนจะหันมามองนารีเทพเพื่อพิจดูลักษณะ “แต่ก็งดงามสมเป็นนารีเทพจริงๆ”
นิลเนตรแอบเหลือบตามองหลวงราชวงศา แต่อีกฝ่ายตีหน้าตายสนิท ทำเหมือนไม่รู้เรื่องเสีย
“ขออภัยด้วย เรามิได้คิดจะวิจารณ์เจ้าให้เสียหาย แต่เจ้าดูไม่เหมือนเทพจริงๆ” รัชกาลที่๑กล่าวเหมือนขอลุแก่โทษ
“ไม่เป็นไรเพคะ แต่ถึงแม้หม่อมฉันจะมิใช่เทพ หม่อมฉันก็รู้เรื่องอนาคตที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไปถึงอีกสองร้อยปีข้างหน้า หม่อมฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับฝ่าบาทแทบทุกอย่าง และรู้ด้วยว่า ในอนาคตอีกสองร้อยปีข้างหน้า ฝ่าบาทก็จะได้เป็นถึงมหาราชอีกพระองค์หนึ่ง” นิลเนตรกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอไม่ได้โกหก เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“เจ้ารู้อนาคตเช่นนั้นหรือ?” รัชกาลที่๑รับสั่งถามอีกครั้งให้แน่ใจ
“ฝ่าบาทคงอยากให้แน่ใจว่าจะชนะศึกครั้งนี้ แต่หม่อมฉันขอยืนยันว่า หากฝ่าบาทส่งกองทัพออกไปสกัดกั้นพวกพม่าตอนนี้ ก็จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน” นิลเนตรพูด
“เป็นคำพยากรณ์เช่นนั้นรึ?”
“หามิได้ แต่หม่อมฉันรู้ต่างหาก หม่อมฉันเรียนมา วิชาประวัติศาสตร์ที่หม่อมฉันศึกษามาเขียนไว้แบบนั้น”
ทุกคนทำหน้าประหลาดใจไปตามๆกัน
“ในเมืองเทพมีสอนวิชานี้ด้วยกระนั้นหรือ?”
นิลเนตรยิ้มขำนิดๆ
“เพคะ”
รัชกาลที่๑นิ่งเล็กน้อย ก่อนจะรับสั่งถาม
“เราจะได้เป็นมหาราชในอีกสองร้อยปีข้างหน้า?”
“เพคะ ในสมัยรัชกาลที่๙ ตอนสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบสองร้อยปี มีการถวายพระราชทินนามให้พระองค์ใหม่ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช”
ทุกคนหันมามองหน้ากันเอง ท่าทางเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่
รัชกาลที่๑ไม่แสดงความคิดเห็น แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง
“ที่เราเรียกเจ้ามา เพราะอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาที่แท้จริง มีสาเหตุอันใด...เทพเช่นเจ้าถึงได้มาอยู่ในแดนมนุษย์ได้ หรือพวกเจ้ามีภาระกิจใดในที่แห่งนี้ พอจะบอกเราได้ไหม”
นิลเนตรอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบเบาๆ
“คงเพราะพวกหม่อมฉันได้ทำความผิดเอาไว้ จึงถูกลงโทษให้มาอยู่ที่นี่”
“พวกเจ้าทำผิดอันใด?” รัชกาลที่๑สงสัย
“หลายอย่าง เช่น ชอบแกล้งอาจารย์เสมอ” นิลเนตรทอดตามองเขายิ้มๆ ชักคิดถึงอาจารย์พิชัยเสียแล้ว “พวกเราไม่ค่อยจะตั้งใจเรียน ทำให้อาจารย์ต้องกลุ้มใจอยู่เสมอ อาจารย์พูดอะไรก็ไม่ค่อยจะเชื่อฟังกัน บางทีก็เคยแอบนัดกันโดดเรียนเหมือนกัน”
รัชกาลที่๑จึงแย้มพระโอษฐ์ออกมาด้วยความปราณี
“เจ้าคงอยากกลับแดนสวรรค์เพื่อไปพบอาจารย์ของเจ้า”
“เพคะ พวกเราอยากกลับมาก” นิลเนตรยอมรับ
“หากมีวิธีช่วยเจ้าได้ เราก็อยากจะช่วย”
“มีอยู่วิธีเพคะ พวกเราคิดว่า หากได้พระแสงดาบของพระองค์ พวกเราก็จะสามารถกลับไปยังโลกของพวกเราได้” นิลเนตรโพล่งเจตนาที่แท้จริงออกมา คิดว่าเป็นไงก็เป็นกัน นี่เป็นโอกาสดีแล้ว เพราะท่านเป็นคนเสนอขึ้นมาก่อนเอง
คนอื่นๆทำท่าตกใจกันมาก ไม่คิดว่านารีเทพจะกล่าวเช่นนั้นออกมา
“ดาบของเราเช่นนั้นรึ?” รัชกาลที่๑ทอดพระเนตรจ้องดูเธออย่างสงสัย
“เพคะ ด้วยฤทธานุภาพของพระแสงดาบ จะช่วยส่งเราคืนกลับไปยังที่ๆเราจากมา” นิลเนตรกล่าวอย่างค่อนข้างมั่นใจอยู่เป็นอันมากจนเห็นได้ชัด
“เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ?” รัชกาลที่๑ถามให้มั่นใจ
นิลเนตรหน้าม่อยเล็กน้อย แสดงความไม่มั่นใจเท่าไหร่
“หม่อมฉันไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะลองดู”
รัชกาลที่๑มองเธออย่างเห็นใจเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็สมควรช่วยให้พวกเจ้าได้สมดังความปรารถนา”
นิลเนตรได้ยิน ก็รู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก
“ช้าก่อนพระพุทธเจ้าค่ะ” กรมพระราชวังบวรรีบบังคมทูล
“มีอันใดขัดข้องหรือ?” รัชกาลที่๑สงสัย
“อันพระแสงดาบนั้นเป็นเครื่องหมายแห่งอิสริยศของฝ่าบาทเอง แสดงถึงอำนาจบุญบารมี แล้วจะมอบให้ผู้ใดง่ายๆเช่นไรกัน ไม่เคยมีปรากฎว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดมอบพระแสงดาบขององค์เองให้กับผู้อื่นมาก่อน”
“นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ยังไม่เคยปรากฎมีเทพองค์ใดมาทูลขอพระแสงดาบ อีกประการหนึ่ง การช่วยเหลือเทพให้กลับแดนสวรรค์ได้นั้น เป็นสิ่งที่สมควรกระทำมิใช่รึ” รัชกาลที่๑ย้อนถาม
กรมพระราชวังบวรอึกอัก จริงๆแล้วเขาเพียงแต่หาข้ออ้างเพื่อรั้งเทพทั้งเจ็ดไว้ ในยามนี้หากมีเทพประทับอยู่ด้วย ก็จะกลายเป็นมิ่งขวัญกำลังใจแก่ไพร่ฟ้าและทหาร แต่หากจู่ๆเทพก็มาจากไปเสียดื้อๆ ก็จะสร้างความเคลือบแคลงใจให้ปวงประชา มีแต่ผลเสียต่อบ้านเมืองเท่านั้น
“ขอเดชะ” หลวงราชวงศาถวายบังคมทูล “เรื่องนั้นเห็นควรต้องพักรอไว้ก่อนจะดีกว่าพระพุทธเจ้าค่ะ”
“ทำไมรึ?” รัชกาลที่๑หันไปถามอย่างข้องใจ
“ข้าพระพุทธเจ้ายังมิได้กราบถวายรายงานให้ทรงทราบ แต่ความจริงแล้ว นารีเทพองค์หนึ่งกำลังประชวรอยู่ หมอหลวงยังสั่งห้ามทำการเคลื่อนย้าย ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นสมควรว่า ยังมิควรปล่อยให้เหล่าเทพเสด็จจากไปเพลานี้ อันอาจจะทำให้นารีเทพผู้นั้นอาการทรุดหนัก ซึ่งจะเป็นอันตรายยิ่งนัก การจะทำเยี่ยงนี้ในเพลานี้จึงหาสมควรไม่”
รัชกาลที่๑ได้สดับ ก็มีอาการตกพระทัย
“เป็นความจริงรึ?”
หลวงราชวงศาได้แต่น้อมบังคมถวาย ส่วนนิลเนตรนิ่งอึ้ง ไม่กล้าตอบ ทำให้รัชกาลที่๑พลอยตรัสไม่ออก
“แล้วเหตุใดจึงไม่รายงานตั้งแต่ต้น?” รัชกาลที่๑รับสั่งขึ้นด้วยสุรเสียงคล้ายไม่พอใจอยู่
“ขอทรงอย่าได้กริ้ว” กรมพระราชวังบวรรีบกราบบังคมโดยเร็ว “หลวงราชวงศามิได้เจตนาจะปิดบัง แต่เห็นว่ามิควรแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป อันจะทำให้ไพร่ฟ้าและทหารต้องพากันขวัญเสีย หากทราบว่านารีเทพประชวรหนักในยามที่บ้านเมืองกำลังมีศึกสงครามติดพัน ซึ่งถือเป็นลางร้ายยิ่ง ขณะนี้ข่าวเรื่องเทพทั้งเจ็ดมาประทับณยังพระนครของเราได้เป็นที่รู้กันไปทั่วพระราชฐานแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดทราบความละเอียดชัด ที่มิได้รายงาน...เพราะเห็นว่า ทรงกำลังวิตกเรื่องการศึกที่ไอ้พม่ายกทัพมาครั้งนี้ จึงไม่ต้องการจะนำความใดมาเพิ่มภาระให้เป็นที่ระคายเคืองพระราชหฤทัย”
รัชกาลที่๑อึ้งเล็กน้อย แต่ก็รับฟังที่กรมพระราชวังบวรทูลอย่างเข้าใจ
“เราอยากจะไปดูอาการของนารีเทพองค์นั้น พวกเจ้าเห็นสมควรเป็นประการใด” รัชกาลที่๑ตรัสถามออกไป
“เช่นนั้น...ข้าพระพุทธเจ้าก็ขออาสาติดตามไปด้วย เพื่อถวายการอารักขาพระพุทธเจ้าค่ะ” กรมพระราชวังบวรรีบทูล
รัชกาลที่๑พยักพระพักตร์ หลังจากนั้นก็มีรับสั่งให้มหาดเล็กตระเตรียมการออกนอกพระราชวังโดยด่วน

อได้ทราบข่าวว่าหลวงท่านจะเสด็จมาด้วยองค์เอง บาทหลวงและภรรยาก็ช่วยกันเร่งจัดเตรียมที่ทาง เก็บกวาดสิ่งของที่ไม่น่าดูเสียให้เรียบร้อยโดยด่วน ก่อนที่จะรีบออกมาต้อนรับเสด็จที่มาถึงหลังจากนั้นไม่นานนัก
“ขอถวายบังคมพระพุทธเจ้าค่ะ” บาทหลวงก้มกราบคำนับอย่างเกรงพระบารมีอยู่ไม่น้อย
“เทพทั้งเจ็ดอยู่ที่ไหนหรือ?” รัชกาลที่๑ตรัสถาม
บาทหลวงและภรรยาก็หันมามองหน้ากันเองอย่างงุนงง และไม่เข้าใจ ใครคือเทพทั้งเจ็ด
เกียรติภูมิ หมีอ้วน ศิลาโผล่หน้าออกมาทางประตูหน้า ได้เห็นพระพักตร์ของรัชกาลที่๑เข้า ต่างก็ตื่นเต้นยินดีขึ้นมา เพราะคิดว่าเป็นอาจารย์พิชัย
“อาจารย์!” พวกเขารี่เข้ามาหาโดยเร็ว ทำท่ามะรุมมะตุ้มกันเป็นการใหญ่ หมีอ้วนถึงกับร้องไห้ออกมา
“อาจารย์ ในที่สุดพวกเราก็ได้เจออาจารย์ ผมคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะไม่ได้เห็นหน้าอาจารย์อีกแล้ว ตกลงอาจารย์มาที่นี่ได้ไงกันครับ หรืออาจารย์เองก็หลงมาติดอยู่ในยุคนี้เหมือนกัน”
นิลเนตรรีบโบกมือห้ามเป็นการใหญ่
“เดี๋ยว พวกนายเข้าใจผิดแล้ว คนนี้ไม่ใช่อาจารย์หรอก” เธอรีบร้องบอก
“หา? ไม่ใช่อาจารย์ หมายความว่าไง?” ศิลาถามเธอ
“ท่านคือรัชกาลที่๑ต่างหาก”
“หา?”
ทุกคนผงะถอยกรูด ทำท่าตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้ายังคงดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจนเห็นได้ชัด
นิลเนตรเกือบยิ้มขำออกมา เพราะท่าทางพวกเขาดูตลกกันจริงๆ
“ล้อเล่นหรือเปล่า?” เกียรติภูมิถามเธอ เพราะไม่อยากจะเชื่อว่ารัชกาลที่๑จะหน้าเหมือนอาจารย์พิชัยอย่างกับแกะ
“เรื่องแบบนี้ใครจะล้อเล่นกันยะ” นิลเนตรตอบ
หมีอ้วนกับศิลาถึงกับเข่าทรุด รีบยกมือพนมไหว้
“ขอพระราชประทานอภัย พวกเรา...เข้าใจผิด ไม่ได้คิดจะล่วงเกินพะเจ้าค่ะ”
รัชกาลที่๑เพียงแต่แย้มพระโอษฐ์ขำนิดๆ ไม่ได้แสดงองค์ว่าถือสาหาความแต่อย่างใด
“พวกเจ้าเป็นเทพกันเช่นนั้นหรือ?” ทรงรับสั่งถาม
“เอ้อ...คือ...” พวกเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร
“เอาเถิด เราแวะมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนดูอาการของนารีเทพ พวกเจ้าช่วยพาเราไปพบนางก่อนเถิด”
ทั้งสามคนได้ยินก็รีบช่วยกันนำทาง และพาไปยังห้องของภาคินี ซึ่งอีกสองสาวเองก็คอยเฝ้าดูอาการของเธออยู่ แต่พอเห็นว่าใครเข้ามา พวกเธอก็มีอาการเช่นเดียวกันกับสามหนุ่ม
“อาจารย์!” ทั้งธิติมาและปรียานุชเข้าไปกอดพลางก็ร้องไห้ออกไปด้วย
“อาจารย์ ช่วยพวกหนูด้วย พวกหนูไม่อยากอยู่ที่นี่ ช่วยพาหนูกลับไปด้วย” ปรียานุชพูดปนสะอื้น “พวกหนูสำนึกผิดแล้ว ต่อไปจะไม่หาเรื่องแกล้งอาจารย์ จะไม่ล้อเลียนอาจารย์ จะเชื่อฟังอาจารย์ทุกอย่าง จะไม่ดื้อไม่ซน หนูจะไม่เอาแต่เที่ยวเตร่ จะไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และจะไม่เอาแต่โทรศัพท์อีก”
รัชกาลที่๑ทอดมองเด็กสาวทั้งสองอย่างปราณี ก่อนจะวางพระหัตถ์ลงบนศีรษะของพวกเธอทั้งสอง
“เราหาใช่อาจารย์ของพวกเจ้าไม่” ทรงรับสั่งอ่อนโยน
สองสาวมองอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าอาจารย์พิชัยกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ดูดีๆ อาจารย์มีอะไรที่ดูแปลกไปจากเดิมมาก เหมือนกับไม่ใช่อาจารย์อย่างงั้นแหละ
ท่วงท่าแลดูสง่างาม และมีความองอาจผ่าเผย ดูตรงข้ามกับอาจารย์พิชัยอย่างสิ้นเชิง
“อาจารย์เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?” ธิติมาถาม
รัชกาลที่๑ไม่ตอบ เพียงแต่ชำเลืองเนตรไปที่เตียง แล้วจึงดำเนินเข้าไปดูร่างบอบบางที่นอนหลับตานิ่งอยู่ ก่อนจะยื่นหัตถ์ไปแตะหน้าผากนั้น พบว่ายังมีอาการไข้อยู่
ภาคินีลืมตาและมองไป เห็นอาจารย์พิชัย
“อาจารย์” เธอน้ำตาไหลออกมา
นิลเนตรรีบขยับเข้ามาใกล้ๆ
“ไม่ใช่อาจารย์หรอก ภา ท่านคือรัชกาลที่๑ต่างหาก”
ภาคินีได้ยินเช่นนั้น ก็ทำท่าจะลุกเพื่อถวายบังคม แต่ทว่ารัชกาลที่๑ก็ช่วยพยุงเธอไว้
“เจ้านอนลงเสียเถิด” ทรงตรัสสุรเสียงอ่อนโยนนัก
ภาคินีจึงนอนลงตามเดิม แต่ทอดมองพระองค์อย่างมีความหวังอยู่ไม่น้อย
“เอาไว้เจ้าหายเมื่อใดแล้ว เราจะมอบพระแสงดาบ เพื่อให้พวกเจ้าสามารถกลับบ้านกันได้” รัชกาลที่๑กล่าวกับเธอ
ภาคินียกมือพนม
“เป็นพระกรุณาเพคะ”
คนอื่นๆได้ยินก็ทำท่าตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อคิดว่ากำลังจะได้กลับบ้านกันแล้ว
รัชกาลที่๑เหลือบไปเห็นสมุดภาพเขียนที่อยู่บนโต๊ะ จึงได้ยื่นหัตถ์ไปหยิบขึ้นมาด้วยความสงสัย เมื่อพลิกดูก็เห็นภาพเขียนต่างๆ ซึ่งเป็นภาพที่แลดูประหลาดมาก ทั้งภาพอาคารตึกอันใหญ่โตสูงเสียดฟ้า และผู้คนมากมายดาษดื่น ภาพหน้าโรงเรียนที่มีธงชาติไทยแลปลิวไสว ภาพพระสงฆ์ที่มาตักบาตรยามเช้า ภาพรัชกาลที่๙ และพระราชินีทรงเครื่องยศสง่างาม ทำให้เกิดความสนพระทัยขึ้นมา จึงได้พลิกดูต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบภาพหนึ่งเข้า
รัชกาลที่๑จ้องมองดูชายในภาพที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพระองค์เองอย่างไม่เชื่อพระเนตร จนกรมพระราชวังบวรกับหลวงราชวงศาพากันนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“คนนี้เองหรือ อาจารย์ของเจ้า?” รัชกาลที่๑ถามเด็กสาวที่อยู่บนเตียง
ภาคินีพยักหน้าน้อยๆ นี่เป็นรูปภาพหนึ่งที่เธอเขียนขึ้นมา เป็นภาพตอนที่อาจารย์พิชัยกำลังอ่านหนังสือเรียนให้ทุกคนในชั้นเรียนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจมาก และยังมีอีกภาพที่กำลังทำหน้าตาเหมือนกลุ้มใจอยู่ที่ไม่มีใครตั้งใจฟังที่เขาสอนเลยสักนิด
“เราขอสมุดภาพเล่มนี้ได้ไหม?” รัชกาลที่๑ถาม
“หากทรงโปรด หม่อมฉันก็ยินดีถวายเพคะ” ภาคินีตอบอย่างรู้สึกนึกยินดี ที่รัชกาลที่๑โปรดภาพของเธอขนาดนั้น
“ขอเดชะ เพลานี้เราควรจะกลับวังเสียที ถ้าหากเราออกมานานจนเกินไป อาจจะมีคนสงสัยได้ แล้วถ้าหากข่าวเรื่องนารีเทพกำลังประชวรหนักแพร่ออกไป ข้าพระพุทธเจ้าก็เกรงว่า...” หลวง ราชวงศาทูลด้วยความกังวลอยู่
รัชกาลที่๑เข้าพระทัย จึงมีรับสั่งว่าจะกลับ
ดังนั้น ทุกคนจึงพากันเดินตามพระองค์ออกมาส่ง โดยไม่มีใครรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น จึงไม่มีใครคิดจะระวังตัว ทุกคนพากันมีอาการประมาทด้วยคาดไม่ถึง
รัชกาลที่๑หยิบสมุดภาพขึ้นมาดูอีกครั้ง และในจังหวะนั้นเอง โมกกับเช้งที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่แถวๆนั้น ก็ถือเป็นโอกาสว่าจะได้กำจัดคนทรยศเสียที เช้งจึงหยิบปืนเล็งไปที่พระอุระ หมายจะยิงให้ตรงกับตำแหน่งหัวใจ แต่เพราะสมุดภาพเขียนบังไว้ ทำให้เกิดการกะตำแหน่งผิดพลาดขึ้น
เสียงปืนดังปัง เล่นเอาทุกคนสะดุ้งไปหมด ก่อนที่รัชกาลที่๑จะล้มฮวบไปต่อหน้า กรมพระราชวังบวรรีบเข้าไปพยุงพระองค์ ไว้โดยเร็ว แล้วสั่งการเสียงอันดัง
“ยังไม่รีบตามจับคนร้ายอีก”
พวกทหารจึงรีบพากันออกติดตามค้นหาคนร้าย
รัชกาลที่๑ใช้พระหัตถ์เปื้อนโลหิตจับไหล่กรมพระราชวัง บวรไว้
“น้องพี่ อย่าให้ใครรู้...เรื่องที่เราถูกยิง” ทรงรับสั่งเพียงเท่านี้ก็มีอันหมดสติไป
“ฟังให้ดี ผู้ใดขืนพูดเรื่องนี้ออกไป ข้าจะกุดหัวมันผู้นั้น และจะส่งครัวเรือนไปเป็นทาสในวังหลัง” กรมพระราชวังบวรตรัสขู่ด้วยสุรเสียงอันน่ากลัวยิ่ง
ทั้งหมดจึงพากันหน้าซีดดูหวาดกลัวไปกันหมด
หลวงราชวงศาก็มาช่วยกันพารัชกาลที่๑ไปยังแคร่หาม และบาทหลวงก็เข้ามาดูพระอาการ พยายามจะช่วยห้ามเลือดให้ แล้วก็รีบช่วยกันพารัชกาลที่๑กลับเข้าวังทั้งสภาพแบบนั้นเอง
มหาดเล็กผู้ติดตามคนหนึ่งเอง เห็นสมุดภาพที่รัชกาลที่๑เปิดดูก่อนจะถูกยิงตกอยู่บนพื้น ก็สำคัญว่าคงต้องเป็นของสำคัญแน่ จึงได้รีบหยิบขึ้นมา และติดตามทุกคนไปโดยเร็ว
หนุ่มสาวทั้งหกพากันตกใจหน้าซีดไปหมด แทบทำอะไรไม่ถูก เพราะเห็นรัชกาลที่๑ถูกยิงต่อหน้าต่อตาตัวเอง

มอหลวงถูกเรียกเข้าเฝ้าโดยด่วน และต้องรีบช่วยผ่าตัดกระสุนออก หลังจากนั้นก็ปล่อยให้รัชกาลที่๑บรรทมพักผ่อนต่อไป เพราะทรงเสียพระโลหิตไปไม่น้อย
มหาดเล็กที่เป็นคนเก็บสมุดภาพไว้ ก็ได้นำมาถวายมอบให้กรมพระราชวังบวร อีกฝ่ายจึงได้เปิดดูสมุดภาพอย่างงุนงงสับสนอยู่ เขาเห็นสมุดด้านหลังเป็นรูกระสุนไหม้ ทะลุมาจนถึงภาพใบหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพของผู้ชายที่มีหน้าตาคล้ายกับรัชกาลที่๑มาก จึงดำริว่าก่อนที่พระองค์จะถูกยิง คงกำลังมองดูภาพนี้อยู่แน่ๆ
“เหมือนจริงๆ” กรมพระราชวังบวรถึงกับรำพึง
“อะไรเหมือนพะเจ้าค่ะ?” หลวงราชวงศาสงสัย
“เจ้าดูเองซี ชายผู้นี้เหมือนพระองค์หรือไม่?” ทรงยื่นให้หลวงราชวงศาดู
อีกฝ่ายก็ทำหน้าประหลาดใจไม่น้อย
“นี่เห็นคงจะเป็นพระอาจารย์ของเหล่าเทพทั้งเจ็ดเสียกระมังพะเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศาค่อนข้างแน่ใจ
“อืม” กรมพระราชวังบวรเห็นด้วย ทรงดูภาพต่อๆไปก็นึกฉงนยิ่งขึ้น “บ้านเมืองเทพเป็นเช่นนี้เองรึ ตึกรามบ้านช่องช่างสูงใหญ่เสียดฟ้าเสียจริงๆ ผู้คนมากมายยุบยับถึงขนาดนี้เชียว”
แต่หลวงราชวงศาดูเป็นห่วงพระอาการของรัชกาลที่๑มากกว่าอีก
“ถ้าหากพระองค์ต้องมีอันเป็นอะไรตอนนี้...”
“เหลวไหล ด้วยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยคุ้มครองบ้านเมืองของเราอยู่ พระองค์ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก” กรมพระราชวังบวรกล่าวตำหนิเขาที่พูดจาให้ฟังดูเป็นลางร้าย
“ขอประทานอภัยพะเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศากล่าวขออภัยอย่างสำนึกผิด
มหาดเล็กคนหนึ่งรีบร้อนเข้ามากราบทูลให้ทราบว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์มาขอเข้าพบรัชกาลที่๑
“ทำเช่นไรดีพะเจ้าค่ะ?” หลวงราชวงศาทำอะไรไม่ถูก
“มีรับสั่งห้ามให้ผู้ใดรู้เรื่องที่ทรงถูกยิง บัดนี้ก็ยังไม่รู้สึกพระองค์ เราเห็นควรทำตามพระราชประสงค์จะเป็นการดีที่สุด”
หลวงราชวงศาก็เห็นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงออกไปพบเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทวศร์พร้อมกัน
“พระมาตุลา ท่านก็อยู่ด้วยเช่นนั้นรึ?” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์รับสั่งถาม
“เจ้ามีกิจอันใดกับหลวงท่านเช่นนั้นหรือ?” กรมพระราชวังบวรถามอย่างสงสัย
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์แย้มพระโอษฐ์เขินนิดๆ
“เราอยากปรึกษาพระองค์ว่า หากเราคิดจะรับชายาเพิ่มอีกสักคน จะเห็นเป็นประการใด”
“เจ้าพึงใจสตรีนางใดรึ?” กรมพระราชวังบวรถามอย่างนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“ก็นารีเทพที่หลวงราชวงศาได้พามาเข้าเฝ้าเช้านี้อย่างไรเล่า”
กรมพระราชวังบวรกับหลวงราชวงศาก็แปลกใจยิ่ง
“ทำเช่นนั้นได้รึ นางเป็นถึงเทพเชียวนะ แม้จะหาใช่เทพผู้รังสรรค์ก็ตามที”
“เพราะนางเป็นเทพน่ะซี นางจึงมีค่ายิ่งเปรียบเหมือนช้างเผือก ข้าถึงอยากรับนางมาเป็นชายา ข้าจะให้นางมาเป็นอัครชายาของข้า ซึ่งจะกลายเป็นผลประโยชน์ต่อบ้านเมืองของเราใหญ่หลวง พระมาตุลาน่าจะเห็นต้องด้วยกับข้านะ”
กรมพระราชวังบวรมุ่นคิ้ว คิดดูเรื่องนี้ก็น่าสนใจดีอยู่
“แต่น่าเสียดาย นารีเทพผู้นั้นดูเหมือนจะมีชายในดวงใจไปเสียแล้ว” กรมพระราชวังบวรกล่าวอย่างเสียใจแทน
“มีคู่รักแล้วเช่นนั้นรึ” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์อด เสียดายใจแทบขาดไม่ได้ “คู่รักของนางคงจะเป็นหนึ่งในเทพที่ติดตามมาพร้อมกันกับนางใช่หรือไม่”
“หาได้ใช่ไม่ หากแต่เป็นพระอาจารย์ของนางเอง” กรมพระราชวังบวรกล่าวอย่างแน่ใจ
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ทำท่าหมดหวัง
“ขอได้โปรด” หลวงราชวงศาเกิดความคิดขึ้นมา ทั้งสองพระองค์หันมามองอย่างแปลกใจ “ข้าพระองค์เห็นด้วยเช่นกันกับที่พระองค์ชายดำริ หากเราสามารถเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับเหล่าเทพได้ เราก็เท่ากับว่าได้กำลังสวรรค์มาช่วยให้บ้านเมืองยิ่งมั่นคงสถาวรสืบต่อไปชั่วกาลนาน อีกทั้งภูมิปัญญาของนางถือว่ามีค่ายิ่ง เพราะนางสามารถหยั่งรู้อนาคตไปถึงอีกสองร้อยปีข้างหน้า เราจึงมิสมควรให้นางจากไปเสีย อันเสมือนเป็นการปล่อยช้างแก้วหนีกลับเข้าป่า”
“แต่นางมีคู่รักแล้วนี่สิ จะให้ฝืนใจนางรึ” กรมพระราชวังบวรไม่เห็นด้วยที่จะหักหาญน้ำใจผู้อื่นเช่นนั้น
“แต่คู่รักของนางมีใบหน้าละม้ายกับหลวงท่านราวพิมพ์เดียว ข้าพระองค์เชื่อว่า นางคงไม่ใจแข็งกับชายผู้มีใบหน้าเหมือนกับคู่รักของนางได้แน่ หนำซ้ำอาจารย์ของนางหาได้อยู่ใกล้ไม่ น้ำไกลย่อมดับไฟยาก”
“เจ้าหมายความว่า...” กรมพระราชวังบวรเริ่มได้คิดเช่นเดียวกัน ก็เกิดเห็นพ้องชอบขึ้นมา เพราะคงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมากจริงๆ ถ้าปล่อยให้นารีเทพจากไปเสียดื้อๆ
“ว้า เสด็จน้าขี้โกง” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์พูด “ข้าอุตส่าห์เล็งไว้ก่อนโดยแท้ แถมนางก็ดูเพิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เสด็จน้าอายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว ไม่เห็นจะสมกันเลย”
“เจ้าตัดใจจากนางเถิด นางมีชายในดวงใจแล้ว ถึงอย่างไรเสีย นางคงไม่เลือกเจ้าดอก” กรมพระราชวังบวรกล่าว พร้อมกับตักเตือนเสีย ไม่ได้ปฎิเสธเรื่องที่อายุของทั้งสองดูต่างกัน “อัญมณี นางแก้ว ช้างเผือก ถือเป็นของคู่บุญบารมีแก่องค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น เจ้าหาได้คู่ควรกับนางไม่ จงอย่าได้ริอาจตีเสมอคิดช่วงชิงสิ่งมีค่าใดๆจากหลวงท่านเป็นอันขาด ยิ่งนางเป็นถึงเทวะนารี หากหลวงท่านไม่เหมาะสมแล้ว เจ้าก็ยิ่งหาได้เหมาะกับนาง จงอย่าได้ใฝ่สูงเกินตัวนัก”
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศรได้ฟังก็ทำท่าคิดได้ จึงไม่กล้าท้วงติงแต่อย่างใดอีก
“หลวงราชวงศา ท่านจงไปเชิญนารีเทพมาเข้าเฝ้าเถิด ถ้าได้นารีเทพมาถวายการปรนนิบัติใกล้ชิด พี่ท่านคงจะพอใจเป็นแน่” กรมพระราชวังบวรกล่าวเหมือนรู้กันเป็นนัยๆ
“พะเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศารับคำสั่ง แล้วรีบจากไป
หลังจากคล้อยหลังของหลวงราชวงศา เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ก็เกิดตาดีขึ้นมา สังเกตเห็นที่ฉลองพระองค์ของกรมพระราชวังบวรมีเลือดเปื้อนติดอยู่
“พระมาตุลา เหตุไฉนเสื้อของท่านถึงมีเลือดติดอยู่ด้วย?” เขาทำท่าตกใจและดูสงสัยขึ้นมา
กรมพระราชวังบวรรู้สึกตัว ก็รีบเสกลบเกลื่อน
“หาใช่เลือดอย่างที่เจ้าคิดไม่ ไอ้พวกไพร่ต่ำช้า มันบังอาจทำกระโถนป้วนหมากรดใส่ข้า ข้าจึงสั่งกุดหัวโครตเหง้ามันไปเสีย”
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์จึงได้แต่มุ่นขนง
มหาดเล็กคนหนึ่งก็รีบร้อนเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างกับกรมพระราชวังบวร ทำให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์จ้องดูด้วยความสงสัยขึ้นมา
“มีกระไรหรือ?”
“ไม่มีกิจอันใดเกี่ยวกับเจ้า หลวงท่านแค่มีการจะปรึกษาข้า เป็นเรื่องส่วนตัว เจ้าจงกลับไปเสียเถิด”
“เช่นนั้นข้าขอตัว” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์จำต้องลาจากไปเงียบๆ แม้จะรู้สึกตะหงิดๆใจก็ตาม
จากนั้นกรมพระราชวังบวรก็รีดรุดไปยังห้องบรรทม
“พี่ท่าน” เขากล่าวอย่างเป็นห่วง
รัชกาลที่๑ลืมพระเนตรขึ้นมา
“ฟังเรา เจ้าจงเร่งจัดเตรียมกองทัพให้พร้อมให้ได้ภายในราตรีนี้ ก่อนรุ่งสางให้กองทัพทั้งสามรีบออกเดินทางไปสะกัดกั้นพวกทัพพม่า อย่าให้มีโอกาสเล็ดลอดเข้ามาถึงกรุงเทพได้ จงขวนขวายด้วยสติปัญญาของพวกเจ้าที่มีอยู่เข้าต่อกร อย่าได้ใช้กำลังเพียงอย่างเดียว เพราะข้าศึกมีกำลังมากกว่า ไม่ควรที่จะปะทะกันตรงๆ จงใช้ภูมิประเทศของที่นั่นให้เป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ใช้แผนอุบายกลลวงต่างๆเท่าที่เจ้านึกออก พี่จะอยู่ที่นี่เอง คอยเตรียมพร้อมไว้ทุกเมื่อ หากทัพใดต้องการกำลังหนุน พี่จะรีบตามไปช่วยเอง”
“น้อมรับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าค่ะ” กรมพระราชวังบวรรับพระราชโองการ
“หลวงราชวงศาล่ะ? อยู่หรือไม่?” รัชกาลที่๑ดำรัสถาม
“พี่มีกิจใดกับหลวงราชวงศาหรือ?” กรมพระราชวังบวรเกิดนึกสงสัย
“พี่เป็นห่วงเทพทั้งเจ็ด หากศัตรูคิดร้ายขึ้นมา พวกท่านจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ เจ้าก็เห็น พวกเขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มสาวธรรมดาเท่านั้น หาได้เป็นเทพผู้มีฤทธาเกรียงไกรไม่ ข้าอยากจะให้หลวงราชวงศาหาทางพาพวกเขาย้ายเข้ามาอยู่เสียแต่ในวังนี้ จะเป็นการดีที่สุด”
“ความจริง...ข้าพระพุทธเจ้าเพิ่งใช้ให้หลวงราชวงศาเชิญนารีเทพมาเพื่อถวายการปรนนิบัติให้ฝ่าบาท” กรมพระราชวังบวรจำต้องกล่าว
“พามาทำไม?” รัชกาลที่๑ไม่เข้าใจ
“เราปรึกษาพูดคุยกันดู เห็นว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากว่าเราจะปล่อยนารีเทพจากไปเสีย นางเป็นผู้ทรงปัญญาที่บนแผ่นดินนี้หาใครเทียมได้ หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าไปถึงสองร้อยปี การที่นางมาอยู่ที่นี่ ถือว่าสวรรค์ได้ประทานสิ่งมีค่ามาให้ แล้วท่านพี่คิดจะปล่อยนางให้หลุดมือไป เราจึงเห็นว่าหาได้สมควรไม่ ช้างพลายช้างแก้วเป็นของคู่บุญบารมีพระมหากษัตริย์มาแต่ไหนแต่ไร”
รัชกาลที่๑ทรงอึ้งเล็กน้อย
“นี่ถือเป็นการทำเพื่อบ้านเมืองนะพระพุทธเจ้าค่ะ”
“เราแก่กว่านางมาก เป็นพ่อของนางได้ ซ้ำนางก็มีคู่รักแล้ว...”
“เรื่องอายุนั้นหาสำคัญไม่ หากนางมีใจรังเกียจคนแก่ นางคงไม่มีใจปฏิพัทธ์ต่ออาจารย์ของนางเองดอก แลท่านพี่ก็ได้เปรียบตรงที่ท่านอยู่ใกล้นางแค่หยิบมือ ส่วนอาจารย์ของนางหาได้อยู่ใกล้ ไม่ อีกทั้งท่านยังมีใบหน้าดูละม้ายคล้ายคลึงกับคู่รักของนางอีก ข้าคิดว่านางคงต้องยอมใจอ่อนต่อท่านพี่ได้แน่นอน”
“ขอเราคิดดูก่อนเถิด” รัชกาลที่๑ขอร้อง
กรมพระราชวังบวรจึงไม่คิดบังคับ
“เช่นนั้นข้าพระพุทธเจ้าขอตัวเพื่อไปสะสางทัพก่อน”
รัชกาลที่๑จึงพยักพระพักตร์เป็นเชิงอนุญาต
กรมพระราชวังบวรชำเลืองเนตรไปที่พระแสงดาบซึ่งวางอยู่บนโต๊ะพระข้างที่ด้วยสีพระพักตร์ไม่ค่อยสบายพระทัยนัก ก่อนจะเสด็จจากไปเงียบๆ

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป