หน้า 1 2 3 4 5 6 7 9 10 11 12 13 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๘...

กล้ฟ้าสางแล้ว ทุกคนกำลังหลับสบายอยู่ในห้อง ศิลาตื่นขึ้นมาเพราะปวดปัสสาวะ เขาจึงออกมาข้างนอกเพื่อหาที่ปลดทุกข์ ขณะที่เขายื่นฉี่อยู่ข้างต้นไม้ พลันนั้นเขาก็รู้สึกตัวว่ามีคนกำลังแอบทำลับๆล่อๆอยู่
“ใคร?” เขาตกใจ รีบเก็บนกเขาแทบไม่ทัน
ผู้แอบเฝ้าดูทั้งสองพากันเดินออกมา พอเห็นหน้าของคนทั้งคู่ ศิลาตกใจแทบร้องลั่น
“บัดเดี๋ยวก่อน ท่านเทพ ขอได้อย่าส่งเสียงร้องเอะอะเป็นที่แตกตื่นไปเลย พวกเราทั้งสองหาได้มีประสงค์ร้ายกับท่านไม่” โมกรีบพูดโดยเร็ว
“พวกคุณมาทำไม?” ศิลาไม่อยากจะยุ่งเรื่องของสองคนนี้อีกแล้ว เขากลัวตัวเองจะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“พวกเราตั้งใจที่จะมาชักชวนท่านให้ไปเข้าร่วมเพื่อช่วยกันกำจัดคนทรยศขายชาติเสีย เรารู้ว่าท่านเองก็หาพอใจหลวงท่านไม่เช่นเดียวกัน” เช้งบอกกับเขาโดยไม่คิดอิดเอื้อนให้เสียเวลา
“ไม่เอา ใครจะหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนด้วย โทษของการเป็นกบฏต้องถูกประหารชีวิตเชียวนะ ผมไม่เอาด้วยหรอก” ศิลาปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ เขาไม่อยากจะตายอยู่ที่นี่
โมกกับเช้งหันมามองหน้ากันเอง พวกเขาเองก็คิดอยู่แล้วว่าคงไม่ง่ายเช่นนั้น แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจาก‘เทพ’ด้วย จึงจะสามารถทำการได้สำเร็จ เพราะพวกชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ยอมเชื่อที่พวกเขาพูดกัน
“ท่านเทพ ขอให้ลองคิดตรองดู คนที่กล้าหักหลังนายของมัน สมควรแล้วรึที่จะให้คนอัปรีย์เช่นนั้นขึ้นเป็นประมุขของชาติ บ้านเมืองคงได้กลายเป็นทุรยศเป็นแน่แท้ หากว่าท่านยินยอมร่วมมือกับพวกเราด้วยแล้ว การจะกำจัดคนทรยศย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น ด้วยอิทธิของท่านเอง” โมกพูด ทำท่าแสดงความเชื่อถือในตัวเขา
“ใช่ หากท่านยอมเข้าร่วม เราจะให้ท่านเป็นผู้บัญชาการในครั้งนี้เอง” เช้งก็พูดสนับสนุน
“พวกคุณพูดเหลวไหลอะไรออกมา พวกคุณก็รู้แล้วนี่นาว่าผมเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆเหมือนกันกับพวกคุณ ไม่ใช่เทพจริงๆ อย่ามายุ่งกับผมดีกว่า ผมไม่อยากตาย” ศิลารีบวิ่งกลับเข้าไปในโบสถ์ แล้วส่งเสียงร้องเอะอะเอ็ดตะโร “เกียรติภูมิ หมีอ้วน ออกมาเร็วเข้า พวกไอ้โมกไอ้เช้งมันอยู่ข้างนอก”
เสียงของเขาไม่เพียงแต่ทำให้เกียรติภูมิกับหมีอ้วนตกใจตื่นและออกมาดู บรรดาสาวๆและแม้แต่สองสามีภรรยาบาทหลวงก็พากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไหน? มีอะไร?” หมีอ้วนถาม ท่าทางชักรำคาญ
“พวกไอ้โมกไอ้เช้งมาที่นี่ เร็วเข้า รีบทำอะไรซะอย่างซี” ศิลาร้องละล่ำละลักบอกกับเขา
เกียรติภูมิกับหมีอ้วนมองหน้ากันเอง ก่อนที่จะพากันขยับไปที่ประตู แล้วชะโงกหน้ามองออกไปรอบๆกัน
“ไม่เห็นมีใครนี่?” หมีอ้วนทำท่าไม่เชื่อจนเห็นได้ชัด
“ปัดโธ่ นายนี่มันโง่จริงๆ ฉันส่งเสียงร้องเอ็ดอะ พวกมันหรือจะอยู่รอให้โดนจับได้ พวกมันก็เผ่นไปแล้วน่ะซี” ศิลาว่าเขาโง่ซะจนไม่มีดี
“แล้วพวกมันมาหานายทำไม?” เกียรติภูมิไม่เข้าใจ
“พวกมันจะมาชักชวนให้ฉันเข้าร่วมเป็นกบฎต่อรัชกาลที่ ๑น่ะซี แถมยังบอกว่าจะให้ฉันเป็นผู้บัญชาการอีกด้วยนะ” ศิลาบอก พวกเขา
“งั้นก็ดีแล้วนี่ นายก็ไปเข้าร่วมกับพวกเขาเลยซี ก็นายมันชอบแส่หาเรื่องอยู่แล้วนี่ นายอยากให้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง ถึงได้สร้างเรื่องบ้าๆ พยายามป้ายร้ายราชวงศ์จักรี” หมีอ้วนพูดอย่างไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะต้องไปเป็นกบฏจริงหรือไม่
“นายจะบ้ารึไง โทษของการก่อกบฏน่ะ ถึงขั้นประหารชีวิตเชียวนะ” ศิลาพูด
“แล้วโทษที่นายคิดป้ายร้ายราชวงศ์จักรีน่ะ โทษไม่ถึงขั้นประหารรึไง ไหนๆนายก็มีโทษสมควรตายแล้ว จะเป็นโทษป้ายสีหรือยุยงปลุกปั่น หรือโทษฐานเป็นหัวหน้ากบฏก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลยนี่ ไหนๆก็แล้ว เป็นหัวหน้ากบฏเองก็ดีเหมือนกันไม่ใช่รึไ ง ก็เท่ดีออก นายจะได้มีชื่อจารึกเหลือทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์ ไง ในฐานะตัวการผู้ก่อการร้ายสร้างความไม่สงบให้กับประเทศ”
ศิลานิ่งอึ้งไปเลย
“ตอนนี้เขาเรียกว่ากรรมตามสนองนายแล้วล่ะ เพราะนายอยากจะให้ร้ายรัชกาลที่๑เอง พระเจ้าก็เลยลงทัณฑ์ให้นายต้องเจอกับเรื่องพวกนี้ แล้วพวกฉันจะคอยเป็นคนดูตอนที่นายต้องถูกตัดหัวเสียบประจานให้เอง” หมีอ้วนพูด แล้วหันไปทางคนอื่นๆ “เอ้า พวกเราไปนอนต่อกันดีกว่า ฉันยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย”
ทุกคนจึงพากันแยกย้ายไปนอน ไม่สนใจอีกฝ่ายแล้ว

"ขอเดชะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ขอทรงเข้าบรรทมเพื่อพักผ่อนสักหน่อยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ” เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรน้อมเกล้าทูลถวายเตือนอย่างเป็นห่วง
“จะให้พ่อหลับนอนอย่างสบายได้อย่างไร ในเมื่อเทพได้พยากรณ์ออกมาเช่นนี้ หากการศึกครั้งนี้พ่ายแพ้ ประเทศชาติของเราก็จะสาปสูญไปจากปฐพีนี้ตลอดชั่วกาลปวสาน” รัชกาลที่๑กล่าวขึ้นด้วยความกังวลพระทัยจนสุดจะประเมินได้
ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งกันไปเป็นครู่
กรมพระราชวังบวรฯยกสองมือพนมน้อมเกล้า
“ขออย่าได้ทรงวิตก พวกข้าพระพุทธเจ้าเองก็หานิ่งนอนใจไม่แม้สักคนเดียว พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหมดพร้อมที่จะใช้ชีวิตน้อยๆนี้แลกกับความสงบสุขของแผ่นดินให้สืบยาวนานไปจนชั่วลูกชั่วหลานให้จงได้ ไม่ให้ไอ้พวกพม่าถ่อยมาย่ำยีแผ่นดินของเราได้เป็นอันขาด”
“ใช่แล้วพระพุทธเจ้าค่ะ ซ้ำท่านเทพก็ยังพยากรณ์ว่า การศึกในครั้งนี้เราจะเป็นฝ่ายมีชัยชนะ เช่นนั้นใต้ฝ่าละอองก็หาควรต้องวิตกเยี่ยงกระนั้นแล” เจ้าพระยาธรรมากล่าวทูลเพื่อสร้างความมั่นใจให้ กับทุกคนไปด้วย
“อย่าได้นึกประมาทเพียงเพราะคำทำนายของเทพ อันจะทำให้เสียการได้” รัชกาลที่๑กล่าวตักเตือน ทำให้ทุกคนพากันก้มหน้าลง ไม่กล้าค้านสักคำ
“หลวงราชวงศา” รัชกาลที่๑หันไปกล่าวกับอีกฝ่าย “ก่อนที่เราจะต้องยกทัพออกไปทำศึกครั้งนี้ เราจะขอพบท่านเทพสักครั้งจะได้หรือไม่ประการใด”
หลวงราชวงศาไม่รู้จะทูลอย่างไร เขายังไม่มีโอกาสถวายรายงานเรื่องที่เทพนารีองค์หนึ่งกำลังล้มเจ็บป่วยอยู่ เพราะเกรงว่าจะเป็นที่ตื่นตกใจไปกันใหญ่ หากว่าเทพต้องมีอันเป็นไปในยามนี้จริงๆ
“ขอทรงเข้าบรรทมก่อนเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ แล้ววันพรุ่งยามสาย ข้าพระพุทธเจ้าจะไปน้อมเชิญท่านเทพเข้ามาเฝ้าเองพระพุทธเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศากล่าวอย่างไม่มีทางเลือก
รัชากาลที่๑ได้สดับเช่นนั้นก็ค่อยวางพระทัย จึงเสด็จไปห้องบรรทมเพื่อพักผ่อนหลับนอนตามที่ทุกคนต้องการ
เมื่อเห็นเหนือหัวเสด็จเข้าบรรทมไปแล้ว เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ก็หันพักตร์มาจ้องหลวงราชวงศาตรงๆ
“หลวงราชวงศา เหตุไฉนท่านจึงไม่อัญเชิญเหล่าเทพทั้งเจ็ดมาประทับอยู่ภายในพระบรมมหาราชวังแห่งนี้เล่า หากท่านได้กล่าวอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดมาประทับณที่แห่งนี้แล้ว พระมาตุลาก็คงจะวางในพระราชหฤทัย หาต้องมาวิตกกังวลเช่นนี้อีก แลยังช่วยเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้แก่พวกเราทั้งหมดได้อีกด้วย”
หลวงราชวงศาหน้าซีดเล็กน้อย มิรู้ว่าจะกราบทูลเช่นไร
“ท่านมีความลำบากกระไรรึ?” กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งถามอย่างสงสัย
“ขอได้ทรงโปรด ข้าพระองค์เองก็ตั้งใจหมายจะไปกล่าวอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดมา แต่เมื่อข้าพระองค์ไปถึงนั้น เทพอีกห้าองค์ไม่ได้อยู่ในที่ประทับ เหลือเพียงก็แต่นารีเทพทั้งสอง แต่มีองค์หนึ่งกำลังประชวรอยู่ด้วยเป็นไข้ป่า” หลวงราชวงศาจำต้องกราบทูลตามจริงออกไป
ทุกคนทำท่าตกใจและคาดไม่ถึงไปตามกัน
“เทพก็ป่วยได้เช่นนั้นหรือ?” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์เริ่มชักสงสัยว่าจะเป็นเทพจริงหรือเปล่า
“แม้จะเป็นเทพ แต่ก็ยังอยู่ในวัฏสงสาร สามารถเกิดเจ็บและตายได้เหมือนกับพวกเรา แล้วเท่าที่ข้าพระองค์ลองสังเกตดู นารีเทพทั้งสองยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่มาก ลางว่าคงจะไม่ใช่เทพรังสรรค์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เท่าไหร่ เมื่อต้องมาโลกมนุษย์ ย่อมทนความลำบากเช่นเราหาได้ไม่พะเจ้าค่ะ” หลวงราชวงศากล่าวตามความเชื่อมั่นในสายตาของตนเอง
ทั้งหมดจึงหันมามองหน้ากันเอง คำพูดของหลวงราชวงศาก็ชวนให้ขบคิดอยู่
“แม้จะไม่ใช่เทพผู้รังสรรค์ที่ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่ แต่อย่างไรเสียท่านก็เป็นถึงเทพที่มาจากแดนสวรรค์ การจะปล่อยให้เทพต้องมาสิ้นวาสนาในบ้านเมืองของเรายามที่เกิดศึกสงครามนั้นไซร้ หากรู้ไป ก็รังแต่จะเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของเหล่าไพร่ฟ้าและทหารเสียเท่านั้น หลวงราชวงศา ไม่ว่าอย่างไรเสีย ท่านจะปล่อยให้นารีเทพผู้นั้นเป็นอันใดไม่ได้เด็ดขาดนะ” กรมพระราชวังบวรได้กล่าวย้ำเตือน
“พะเจ้าค่ะ ข้าพระองค์ก็เห็นเช่นนั้น จึงได้พยายามปกปิดข่าวนี้มิให้แพร่งพรายออกไป และได้ให้หมอหลวงไปช่วยดูอาการของนารีเทพองค์นั้นแล้ว” หลวงราชวงศากราบทูลให้ทราบ
“ทางที่ดี น่าจะพาตัวมารักษาในวังเสียจะดีกว่า” เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์กล่าว เพราะยังไม่ค่อยวางใจเสียเท่าไหร่
“หากอาการของนารีเทพดีขึ้น และหมอหลวงอนุญาตให้เคลื่อนย้ายได้ ข้าพระองค์จะรีบดำเนินการโดยเร็ว” หลวงราชวงศารีบทูล
“เช่นนั้นท่านก็จงรีบไปดำเนินการเถิด” กรมพระราชวังบวรบอกอนุญาต
“พะเจ้าค่ะ”
หลวงราชวงศาจึงทูลลา แล้วรีบกลับไปพักผ่อนที่จวนของท่านเสียก่อน สั่งให้คนเร่งเตรียมข้าวของเสร็จแล้ว วันต่อมา พอได้เวลาก็ รีบให้คนหามแคร่พาไปที่โบสถ์

มื่อหลวงราชวงศามาถึงนั้น เขาก็ได้พบเหล่าเทพทั้งเจ็ดรออยู่กันพร้อมหน้า ไม่มีใครคิดออกจากโบสถ์ เพราะเชื่อว่าวันนี้จะต้องมีคนจากในวังมาหาตนอย่างแน่นอน จึงได้รออยู่
หลวงราชวงศาเข้าไปดูนารีเทพที่นอนเจ็บอยู่ในห้อง ด้วยสีหน้าฉายแววกังวลอยู่ไม่น้อย แต่หมอหลวงก็พยายามเต็มที่
“พอจะเคลื่อนย้ายพาเข้าไปรักษาตัวในราชวังได้หรือไม่” หลวงราชวงศาลองปรึกษาหมอหลวง
“รอดูอาการอีกสักสองสามวันน่าจะดีกว่านะขอรับ” หมอหลวงยังไม่เห็นพ้องด้วยเท่าไหร่ การเดินทางเคลื่อนย้ายอาจทำให้คนไข้อาการทรุดหนักลงได้
หลวงราชวงศาเข้าใจดี ก่อนจะหันมามองนิลเนตรตรงๆ
“หลวงท่านมีราชประสงค์ใคร่จะเสวนากับท่าน มิทราบว่าท่านพร้อมจะเดินทางไปเข้าเฝ้ากับข้าน้อยได้หรือไม่”
นิลเนตรมุ่นคิ้ว หันไปมองคนอื่นๆ
“ทำไมรัชกาลที่๑ เอ๊ย หลวงท่านถึงต้องการพบนิลเนตร ด้วยครับ?” เกียรติภูมิถาม ไม่เข้าใจจริงๆ
“ข้าน้อยหาทราบไม่ อาจเป็นเพราะพระองค์ยังคงวิตกกับคำพยากรณ์ของท่านเทพ จึงมีพระประสงค์ต้องการรับสั่งถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็อาจเป็นไปได้”
“คำพยากรณ์?” ทุกคนหันไปจ้องนิลเนตรเป็นตาเดียว
เด็กสาวตีหน้าไม่ถูก ความจริงเธอแค่พูดออกไปตามที่เคย เรียนมาในชั่วโมงประวัติศาสตร์เท่านั้น ไม่ใช่คำพยากรณ์
“ท่านว่ากองทัพไทยจะชนะศึกในครั้งนี้ใช่หรือไม่” หลวง ราชวงศาถามย้ำอีกครั้งให้มั่นใจ
“ค่ะ ชนะแน่นอน” นิลเนตรยืนยันอย่างมั่นใจ
หลวงราชวงศาจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจเล็กน้อย หากเทพได้พยากรณ์แม่นมั่นเช่นนี้ คงไม่มีปัญหาแน่
“เช่นนั้นเชิญแต่งเครื่องทรงที่ข้าน้อยเตรียมมา แล้วตามข้าน้อยไปเข้าเฝ้าด้วยเถิด” หลวงราชวงศากล่าวอย่างขอร้องแกมบังคับอยู่ในที
นิลเนตรไม่มีทางเลือก เธอจึงได้ตามนางทาสสองสามคนไปแต่งเครื่องทรงที่หลวงราชวงศาเตรียมมา ทุกคนจึงออกมารอคอยอยู่ข้างนอกกันอย่างกระวนกระวายไม่น้อย
กว่านิลเนตรจะแต่งตัวเสร็จและออกมาได้ ก็ต้องเสียเวลาไปเกือบร่วมสองชั่วโมง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะเหล่านางทาสได้ช่วยกันแปลงโฉมเธอออกมาให้ดูงามพิจิตรคล้ายเทพธิดาจริงๆ ซึ่งเป็นไปตามที่หลวงราชวงศาต้องการพอดี
เพียงแค่นี้ ไม่ว่าใครก็ต้องเชื่อว่าเธอคือนารีเทพที่ลงมาจากสรวงสวรรค์อย่างมิต้องสงสัย เกียรติภูมิและพวกผู้ชายคนอื่นๆเองก็ยังจ้องเธอแทบไม่เชื่อสายตา
“สวยจัง นิล” ธิติมากล่าวชม นึกอิจฉาหน่อยๆ
“ไว้เธอแต่งบ้างซี” นิลเนตรกระซิบเขินๆ
ปรียานุชทำท่าค้อนให้อย่างหมั่นไส้และอิจฉา
“งามสมกับเป็นนารีเทพจริงๆนะขอรับ ใต้เท้า” ไอ้ฉิมถึงกับเป็นปลื้มเสียใหญ่โต
“อย่าพูดมาก” หลวงราชวงศาเตือนเขา
ไอ้ฉิมจึงได้แต่หุบปาก แต่ก็อดชื่นชมเด็กสาวไม่ได้
“ท่านนิลเนตร ท่านพร้อมจะเดินทางไปกับเราแล้วใช่หรือไม่?” หลวงราชวงศาถาม
“ค่ะ” นิลเนตรตอบ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
หลวงราชวงศาได้ให้คนนำแคร่หามมา และกล่าวเชิญนารีเทพให้ขึ้นประทับ จากนั้นตัวท่านเองก็ไปนั่งแคร่หามอีกคัน แล้วบรรดาชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ช่วยกันหามแคร่ทั้งสองคันเพื่อพาไปยังพระบรมมหาราชวัง
บาทหลวงออกมายืนมองอย่างงุนงง ดูไม่เข้าใจ
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?” บาทหลวงถามเด็กหนุ่มสาวที่เหลือ
แต่ทุกคนไม่ตอบ พวกเขาคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะพูดอะไรทั้งสิ้น

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป