home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๕...
"เราจะทำยังไงต่อไปดี? ภาคินีถามอย่างทดท้อ ตอนนี้พวกเขาเจ็ดคนถูกนำตัวมายังที่พักที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ ข้างนอกนั้นมีทหารยามเฝ้าอยู่ถึงสองคน เพราะแม่ทัพยังไม่วางใจ จึงให้คนมาคอยเฝ้าคุมไว้ กันพวกเขาหลบหนีไป
ชู่ว์ อย่าพูดดังไป ประตูมีหูนะ เกิดพวกนั้นรู้ว่า พวกเราไม่ใช่เทพทั้งเจ็ด แต่เป็นแค่คนธรรมดา มีหวังเราตายหยังเขียดอยู่ที่นี่แน่ ปรียานุชเตือนให้สำนึกตัวเอาไว้
ทำไมพวกเราถึงซวยแบบนี้ด้วยนะ มันเพราะอะไรกัน พวกเราทำอะไรผิดงั้นเหรอ ทำไมสวรรค์ถึงกลั่นแกล้งเราแบบนี้ หมีอ้วนทำท่าโอดครวญ งานนี้เขาคิดว่าคงต้องตายแน่
หรือเพราะพวกเราชอบแกล้งอาจารย์ เพราะฉันชอบแอบเขียนภาพล้อเลียนอาจารย์เสมอ ภาคินีรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมา
เหลวไหล เรื่องแค่นี้เราคงไม่ถูกส่งมาที่นี่หรอก เราต้องทำอะไรผิดที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ต่างหาก เกียรติภูมิว่า
งั้นก็ต้องเป็นพราะนายกล่าวหาว่ารัชกาลที่๑เป็นกบฎไงล่ะ นิลเนตรว่าใส่เขา เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่น่ามีเรื่องอื่นอีก
เกียรติภูมิได้แต่จ้องหน้าเธอ พูดไม่ออกอยู่เป็นครู่ เพราะคิดดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ คนผิดอาจจะเป็นเขานี่เอง
ใช่ คงเพราะนายพูดเรื่องนี้ออกไปแน่ๆ ปรียานุชเองก็เห็นด้วย ทำท่าโทษว่าเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด
ธิติมาเงอะงะ อยากจะช่วยเกียรติภูมิ แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ จะพากันโทษว่าเป็นความผิดของเขากันหมด ทั้งหมีอ้วนและภาคินีก็ยังจ้องมองเหมือนต่อว่าอยู่ในที
หรือว่า... ศิลาหน้าไม่ดีจนเห็นได้ชัด เป็นเพราะฉันเอง ฉันเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องรัชกาลที่๑เป็นกบฏออกไปเอง
หา? ว่าไงนะ? เกียรติภูมิแทบไม่เชื่อหู
ก็กระทู้อันนั้น ฉันเป็นคนเขียนขึ้นมาเองแหละ แล้วฉันยังใช้ชื่ออื่นอีกหลายชื่อ ทำเป็นคนละคนช่วยกันเขียนรุมด่านายกลับด้วย ศิลาสารภาพความผิดของตนออกมา
อ๋อ แกนี่เอง ไอ้สารเลวชาติชั่ว ตีสองหน้าได้เก่งนักนี่ เกียรติภูมิเดือดจัด ใช้มือกระชากคออีกฝ่ายอย่างมีโมโห ตลอดเวลาที่ผ่านหมอนี่ทำเป็นตีหน้าไม่รู้เรื่องได้แนบเนียนมาก ทั้งๆที่รู้เรื่องทั้งหมดดีอยู่แก่ใจ
ก็นายอยากเสือกเรื่องคนอื่นเองนี่นา แล้วฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่ ศิลาร้องไห้ออกมา สวรรค์กำลังลงโทษฉันอยู่แน่ๆ ที่จงใจให้ร้ายรัชกาลที่๑แบบนั้น
เกียรติภูมิเห็นเช่นนั้นแล้วก็ได้แต่ปล่อยมือจากตัวอีกฝ่าย ใช่ว่าเขายังไม่หายโกรธ แต่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้แบบนี้ ก็ไม่มีแก่ใจอยากทำอะไรอีกต่อไปแล้ว แถมสวรรค์ก็กำลังลงทัณฑ์ทุกคนอยู่จริงๆ ตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบกันไปหมด ไม่มีใครพูดอะไรอีก จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ เมื่อจู่ๆธิติมาก็ร้องไห้ออกมา
ฉันอยากกลับบ้าน เธอส่งเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ
ไม่ใช่เวลามานั่งร้องไห้นะ เราต้องคิดหาทางหนีต่างหากล่ะ นิลเนตรบอกกับเธอ
หนีเหรอ? เกียรติภูมิหันมาจ้องหน้าเธอ
คนอื่นๆก็ทำท่าเหมือนเพิ่งได้คิด พากันมองคนทั้งคู่อย่างตื่นตระหนกกันอยู่
ก็แหงล่ะ ลืมไปแล้วหรือไง พวกนี้เป็นทหารพม่าเชียวนะ พวกพม่าชั่วร้ายแค่ไหน พวกเราก็รู้ๆกันอยู่ ถ้าเราไม่ถูกมันฆ่าตาย ก็ต้องกลายเป็นทาสของมัน
ทุกคนได้ยินก็ชักหวาดกลัวขึ้นมา
แล้วเราจะหนียังไง? หมีอ้วนถาม
ก็นี่แหละ ฉันถึงว่าพวกเราน่าจะมาลองปรึกษาหาทางกันดูไง มันต้องมีวิธีซี พวกเขายังคิดว่าเราเป็นเทพอยู่ เพราะงั้นโอกาสหนีย่อมต้องมีแน่ๆ แต่ถ้าถูกจับได้เมื่อไหร่ เราต้องตายกันหมด
ทั้งหมดจึงมองหน้ากันเองอย่างตกใจ ต่างก็เห็นด้วย ต่างคนจึงพยายามคิดหาทางออกดู
พวกนั้นดูเหมือนอยากจะให้เราช่วยแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อให้ทัพของตัวเองชนะการศึกครั้งนี้ ถ้าหากพวกมันเกิดชนะขึ้นมาได้ ประเทศไทยจะเป็นยังไงต่อไป แล้วพวกเราจะเป็นยังไง หมีอ้วนแทบไม่อยากคิดถึงอนาคตด้วยซ้ำ
ไม่มีทางหรอก ศึกครั้งนี้เราต้องชนะต่างหาก ก็เราเรียนกันมาแบบนั้นไม่ใช่รึไง ศิลาถาม
แต่ประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ เพราะการปรากฎตัวของเราไงล่ะ ยิ่งเราอยู่โลกนี้นานเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะได้กลับบ้านก็ยิ่งห่างไกลเท่านั้น เกียรติภูมิพูด
ธิติมารีบเข้าไปยืนข้างๆเขา งั้นเราจะทำไงดี?
ต้องช่วยทัพไทยชนะศึกให้ได้ เขาบอก
แล้วทำไง? หมีอ้วนถาม
ก็ลองมาช่วยกันนึกดูซีว่า กองทัพไทยชนะศึกครั้งนี้ได้ ไง เกียรติภูมิย้อนถาม
ทุกคนนิ่วหน้า พยายามคิดดูว่าเคยเรียนมายังไงบ้าง
รู้สึกว่าจะเป็นเพราะเสบียงนะ ภาคินีจำได้ว่าคล้ายๆจะเป็นแบบนั้น แต่เธอสมองตื้อไปหมด จึงทำให้จำได้ไม่ชัดเจน
ใช่แล้ว เสบียง หมีอ้วนก็นึกออก ฉันจำได้แล้วล่ะ ไอ้แม่ทัพคนนี้เองแหละ มันมีหน้าที่เป็นคนจัดเตรียมเสบียงอาหารให้กับทัพหลวง แต่มันทำไม่สำเร็จ สุดท้ายเลยถูกประหารชีวิตไปไงล่ะ
ประหารเหรอ? ทั้งหมดจ้องหน้ากันเอง
นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงคนอื่นนะ แถมมันเป็นถึงแม่ทัพของฝ่ายศัตรูอีกด้วย หมีอ้วนเตือนพวกเขา
นั่นซี เวลาแบบนี้เราต้องหาทางเอาตัวรอดก่อน เกียรติภูมิเห็นด้วยกับเขา
แล้วมีแผนหรือเปล่าล่ะ? ปรียานุชถาม เพราะเธอแทบคิดอะไรไม่ออกเลย
เกียรติภูมิกับหมีอ้วนดูจะยังนึกไม่ออก
ฉันคิดออกอยู่วิธี นิลเนตรพูด
อะไรเหรอ? ภาคินีถาม
ก็พวกมันอยากให้เราช่วยสำแดงปาฏิหาริย์ไม่ใช่หรือไง ถ้าเราพยายามแสดงอะไรให้พวกมันเห็นสักอย่างดู จากนั้นเราก็หาทางหนีไปตอนนั้น มันน่าจะมีทางนะ จริงมั้ย
สำแดงปาฏิหาริย์เหรอ? เกียรติภูมิคิดว่าน่าจะเป็นแผนที่ดีทีเดียว
เออ ฉันว่าวิธีนี้ก็ไม่เลวนะ อย่างเช่นเราหลอกว่าจะช่วยทำให้ทหารของมันมีกำลังแข็งกล้าขึ้น ถ้ามันได้ยินแบบนั้น ต่อให้เราสั่งให้มันทำอะไร พวกมันต้องเชื่อฟังเราโดยดีแน่ หมีอ้วนเองก็เห็นด้วย
แน่ใจนะ ว่าจะเป็นอย่างงั้นจริง ศิลายังไม่เชื่อ
อุฟะ แล้วนอกจากแผนนี้แล้ว นายมีแผนดีกว่านี้หรือเปล่าล่ะ หมีอ้วนชักรำคาญ เขาอยากหนีไปให้เร็วๆแท้ๆ
ใจเย็นๆก่อน ค่อยๆคิดกันให้รอบคอบ เรามีโอกาสหนีได้แค่หนเดียวเองนะ ภาคินีเตือนพวกเขาให้ได้สติ
ถ้าถูกจับได้ว่าเราคิดหนี เราต้องตายแน่ๆ ธิติมากลัวจนบอกไม่ถูก
หรือเธอจะยอมอยู่ที่นี่ต่อไป? ปรียานุชย้อนถาม เธอไม่อยากต้องอยู่ในที่แบบนี้ตลอดไป
นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะ นิลเนตรว่าทั้งสองคน
ทุกคนพยายามสงบสติอารมณ์เต็มที่
ไม่รู้ล่ะ ไงๆก็ต้องหาทางอะไรสักอย่างให้ได้ หมีอ้วนดึงดัน
หาทางน่ะ ต้องหาทางแน่ แต่ควรให้รอบคอบด้วย เพราะถ้าพลาด ก็หมายถึงตายนะ เกียรติภูมิเตือน
งั้นจะเอาไง? หมีอ้วนถามห้วนๆ
แผนที่ว่ามาก็ไม่เลว แต่เราต้องคิดดูให้ถี่ถ้วนว่า จะทำไงถึงหนีออกไปได้ไม่ใช่เหรอ หรือจะให้ตอนทำพิธี สั่งให้พวกนั้นเอาผ้าปิดตา มัดมือมัดเท้า แบบนี้พวกมันคงไม่เล่นด้วยหรอก พวกมันต้องสงสัยแน่ว่าทำไมต้องให้ถึงกับมัดมือมัดเท้าด้วย
ไม่ต้องถึงกับเอาผ้าปิดตามัดมือมัดเท้าหรอก แค่ให้หลับตา หรือก้มหน้าลงกับพื้นก็ได้ ปรียานุชพูด
เออ ใช่แล้ว ก็ให้พวกมันหมอบกราบกับพื้นซี บอกว่าถ้าตอนทำพิธียังไม่เสร็จ เกิดใครเงยหน้าขึ้นมาแอบดูระหว่างนั้น จะต้องถูกอาถรรพณ์ของสวรรค์เบื้องบนทำให้ตาบอด ได้ยินแค่นี้ คงไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมา แล้วเราก็รีบฉวยโอกาสหนีไปตอนนั้นไง หมีอ้วนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนเริ่มมองเห็นความหวังรำไรขึ้นมา คิดว่าคงจะมีแต่วิธีนี้เท่านั้น
พูดน่ะมันง่าย แต่หลังจากนั้นล่ะ เราจะทำยังไงต่อไปอีก ต่อให้เราหนีออกไปได้ แต่เราจะไปที่ไหน ทำยังไง ถ้าจะให้เดินทางรอนแรมกลับกรุงเทพ ต้องใช้เวลาอีกกี่วันกี่ปี คิดดูให้ดีก่อน ศิลาทักท้วงอย่างไม่เห็นชอบด้วย
พวกผู้หญิงได้ยินก็ทำท่าผิดหวังไปตามกัน เพราะฟังดูเป็นเรื่องที่ยากลำบากเอาการ
แล้วจะให้อยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆรึไง ไม่ช้าไม่นาน ไอ้พวกนั้นมันต้องรู้แน่ๆว่าเราไม่ใช่เทพ หมีอ้วนว่าเขา ยังแค้นใจไม่หาย เพราะต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พวกเขาต้องมาติดอยู่ที่นี่ เป็นเพราะศิลาดันเป็นคนปล่อยข่าวลือบ้าๆนี่เอง สวรรค์ก็เลยลงทัณฑ์ให้พวกเขาทุกคนต้องมาพบกับเรื่องยากลำบากเช่นนี้
ใจเย็นๆก่อน เรื่องนี้ฉันพอมีวิธี เราขอผ่อนผันยืดเวลากับพวกมันไปอีกสักสองสามวัน ระหว่างนั้นเราก็พยายามหัดขี่ม้าให้เป็นให้ได้ แล้วเราก็ขโมยม้าของพวกมันหนีไปด้วยก็สิ้นเรื่อง ถ้าเรามีม้า เราก็เท่ากับว่ามีคนมาช่วยขนของด้วย เพราะเราจะต้องมีเสบียงติดตัวไป ไม่งั้นระหว่างทางจะเอาอะไรกิน เกียรติภูมิบอกกับพวกเขา
พวกผู้หญิงได้ยินก็ชักตื่นเต้นขึ้นมา คิดว่าวิธีนี้ไม่เลว
จริงด้วย นายฉลาดจริงๆ ธิติมาชมเขา มองเขาอย่างนึกนิยมบูชา
ศิลาจึงค้อนให้อย่างนึกหมั่นไส้ เพราะเกียรติภูมิทำตัวไม่ต่างจากพวกพระเอกหนังไทย เล่นเอาสาวๆพากันมองอย่างชื่นชมไปกันหมด แม้แต่นิลเนตรยังมองเขาอย่างนึกแปลกใจ
แค่สองสามวัน เราอาจจะฝึกขี่ม้าไม่ทันก็ได้ ฉันว่าควรอย่างน้อยสักอาทิตย์จะดีกว่า ปรียานุชบอก
จะบ้าเหรอ ตั้งอาทิตย์น่ะ ระหว่างนั้นพวกมันอาจจะรู้ตัวถึงแผนของเราก็ได้ นิลเนตรไม่เห็นด้วย
หมายความว่าจะให้ฝึกให้ได้ในสองวันเนี่ยนะ?
ถ้าเธออยากไปจากที่นี่ เธอก็ต้องฝึกให้ได้
ปรียานุชเม้นปาก ไม่ชอบใจ เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอโดนนิลเนตรพูดเหมือนวางอำนาจใส่แบบนี้
เอาน่า เราก็เลือกม้าที่มันเชื่องๆหน่อย คิดว่าคงจะไม่มีปัญหาหรอก หมีอ้วนปลอบ
แต่จะไปทั้งที เราควรจัดการทำลายเสบียงของพวกมันไปด้วยจะดีที่สุด ถ้าพวกมันขาดเสบียง ก็จะไม่มีปัญญาไล่ตามพวกเรา ไป และจะไม่มีทางเอาชนะกองทัพฝ่ายไทยได้แน่นอน เกียรติภูมิบอกทุกคน
ทั้งหมดทำท่าเห็นด้วย จึงค่อยเริ่มวางแผนการเป็นขั้นตอนอย่างรอบคอบที่สุดเท่าที่พอจะทำได้
"พวกท่านอยากจะฝึกขี่ม้าเช่นนั้นรึ? ล่ามถามขึ้นอย่างแปลกใจมาก เมื่อได้ยินเรื่องที่พวกเขากล่าวออกมา
ใช่ ในพิธีการปลุกเสกเพื่อเพิ่มพลังให้กับทหารในกองทัพของพวกท่าน เราจะต้องบูชาเทพอาชาทั้งเจ็ดเป็นเครื่องสังเวยแด่องค์เทพเจ้าด้วย เราจึงต้องการม้าเชื่องๆที่หน่วยก้านแข็งแรงถึงเจ็ดตัว สำหรับใช้ทำพิธีบูชายัญด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราจึงอยากจะลองหัดฝึกขี่ม้าดู เพื่อทำความคุ้นเคยกับพวกมันก่อน จะได้ไม่ทำให้พิธีการเกิดความผิดพลาดเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลให้เทพเจ้าโกรธกริ้วเอาได้ เกียรติภูมิพูดอย่างเป็นงานการเสียจนเป็นเรื่องจริงไปเลย
ที่ว่าบูชายัญด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ ท่านหมายถึง... ล่ามสะดุดหูกับคำพูดประโยคนั้น
เราต้องฆ่าม้าทั้งเจ็ดตัว โดยการเผาด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์เพื่อถวายแด่เทพเจ้า
ล่ามได้ฟังก็อึ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปรายงานแม่ทัพของตนให้รับทราบ
ท่านแม่ทัพกล่าวว่าเรื่องม้าที่จะนำมาบูชายัญนั้นไม่เป็นปัญหาแต่ประการใด ท่านอนุญาตให้พวกท่านไปคัดเลือกได้ด้วยตัวเองตามแต่อัธยาศัย แต่ท่านอยากจะรู้ว่าพวกท่านคิดว่าจะต้องใช้เวลาสักกี่ราตรี จึงจะเริ่มพิธีการได้ ท่านแม่ทัพของเราใจร้อน อยากจะให้เร่งพิธีเสียก่อนที่กษัตริย์ของเราจะเดินทางมาถึงในอีกไม่ช้านี้ ล่ามพูดกับเขา
เกียรติภูมิพยายามทำหน้าเฉยๆ ไม่แสดงความตกใจที่ได้ทราบว่าพระเจ้าปดุงกำลังจะเดินทางมาถึงในเร็วๆนี้
แค่สองสามวันเท่านั้นแหละ เพียงแต่พิธีการนี้มันยุ่งยาก ต้องเตรียมอะไรหลายๆอย่าง นอกจากต้องเฟ้นหาเทพอาชาทั้งเจ็ดให้ได้แล้ว เราต้องเตรียมเสบียงที่จะใช้ปลุกเสกเป็นยาวิเศษเพื่อให้พวกทหารของท่านทั้งหมดได้ทานเข้าไป เพื่อเป็นการเพิ่มพลังนั่นเอง หลังจากที่พลังเพิ่มขึ้น พวกท่านจะรู้สึกกระปี้กระเปร่า ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือหิวอีกต่อไป คนเดียวสามารถสู้ได้ถึงยี่สิบคน
แมงยี แมงข่องกยอได้ฟังคำแปลจากล่าม ก็มีท่าทางดูพอใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ด้านเสบียงนั้นคงไม่มีปัญหา เราเองก็กำลังจัดเตรียมอยู่กันเต็มที่ ท่านต้องการใช้เสบียงจำนวนสักเท่าใดถึงจะพอ
ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งมีประโยชน์ต่อพวกท่านเท่านั้น
ล่ามมุ่นคิ้ว ก่อนจะหันไปรายงานให้แมงยี แมงข่องกยอได้รับทราบ
ตกลง เราจะให้ทหารเตรียมเสบียงทั้งหมดให้
งั้นดีแล้ว อีกสองวันเราจะเริ่มทำพิธีกัน
จากนั้นหนุ่มสาวทั้งเจ็ดก็ไปเลือกม้าสำหรับเตรียมฝึกหัดขี่ไว้ โดยสอบถามพวกทหารดูว่า ม้าตัวไหนที่เชื่องและมีกำลังฝีเท้าดี แล้วก็ได้รับคำแนะนำมา จึงได้เทพอาชาทั้งเจ็ดมาสมดังใจ แล้ว รีบฝึกหัดขี่กันอย่างตั้งอกตั้งใจที่สุดยิ่งกว่าตอนเรียนหนังสือเสียอีก เพราะถ้าหัดขี่ไม่ได้ในสามวัน รอให้กษัตริย์พม่ามาถึงเมื่อใด พวกเขาคงได้หัวหลุดจากบ่ากันหมดเป็นแน่
พวกเขาใช้เวลาเกือบทั้งวันฝึกจนเหนื่อยล้าไปหมด กลางคืนก็มานอนปวดเมื่อย ช่วยกันผลัดนวดให้กันเท่าที่พอจะทำได้ ไม่คิดว่าการฝึกหัดขี่ม้าจะทำให้ปวดเมื่อยได้มากถึงขนาดนี้
ตลอดเวลาสามวัน พวกเขาเอาแต่ฝึกและฝึกขี่ม้าให้คล่องโดยเร็ว เพราะหลังจากนี้คงจะไม่มีเวลาสำหรับฝึกอีกต่อไป แล้วพอมาถึงวันที่จะต้องทำพิธี พวกเขาก็พยายามพักเอาแรงเต็มที่ ก่อนจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางกัน
แม่ทัพแมงยี แมงข่องกยอได้ทำตามที่ให้สัญญาไว้ทั้งหมด โดยให้พวกทหารจัดเตรียมพิธีการต่างๆ รวมทั้งเสบียงก็ให้ขนมาไว้ตรงหน้าแท่นพิธีบวงสรวงบูชาเทพ โดยให้ทหารทั้งหมดมาเข้าแถวเรียงรายยืนดูอยู่ห่างๆ เพื่อที่เวลาพิธีเสร็จก็จะได้แจกอาหารทิพย์ให้ได้กินกันอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า
สำหรับเทพอาชาทั้งเจ็ดเองก็ได้ผูกอานอย่างดี รวมทั้งข้าวของตากแห้งต่างๆและน้ำผูกไว้ที่ข้างม้า เตรียมสำหรับบูชาเทพเจ้าไปพร้อมๆกัน ตัวม้าก็ประดับประดาเครื่องยศดิบดี สมกับเป็นเทพอาชาเสียจริงๆ
เกียรติภูมิคิดว่า ถ้าหากมีโอกาสเข้าเมืองได้เมื่อไหร่ จะเอาของพวกนี้ไปขายเป็นเงินเสีย เพราะต่อไปคงต้องคิดถึงเรื่องความเป็นอยู่อีกด้วย ถ้าพวกเขาหมดโอกาสจะได้กลับโลกเดิมจริงๆ
ท่านแม่ทัพให้ข้าน้อยถามว่า พวกท่านยังประสงค์สิ่งใดอีกไหม? ล่ามเข้ามาถามพวกเขา
อ๋อ ไม่ต้องหรอก พวกท่านไปยืนดูห่างๆ และตอนเริ่มพิธีนั้น จำไว้อย่างหนึ่ง ให้ทุกคนก้มลงหมอบกราบกับพื้น และห้ามเงยหน้าขึ้นมาอย่างเด็ดขาด เพราะตอนที่เทพเจ้าเสด็จลงมาจากบนสรวงสวรรค์นั้น รอบตัวท่านจะมีรัศมีแรงกล้าจัด ถ้าหากพวกท่านรู้สึกร้อนเมื่อใด แสดงว่าท่านเทพกำลังลงมาประทับอยู่ ห้ามพวกท่านเงยหน้าขึ้นมองท่านโดยตรงเป็นอันขาด ไม่งั้นพวกท่านจะถูกอำนาจแห่งเทพทำให้ถึงกับตาบอดไปเลยก็ได้
ล่ามได้ยินก็ทำท่าตกใจไม่น้อย แต่ก็ทำท่าเชื่อที่เขาพูดเป็นอันดี นำความไปรายงานให้แม่ทัพได้รับทราบ แม่ทัพจึงสั่งทหารทุกคนว่า หากใครขืนเงยหน้าขึ้นมองเทพ จะตัดหัวคนผู้นั้นเสีย
เหล่าทหารได้รับทราบก็เกิดความหวาดกลัว ดังนั้นเมื่อพิธีเริ่มขึ้น จึงไม่มีใครกล้าเงยหน้าแม้แต่คนเดียว
พอเห็นว่าทุกคนก้มลงหมอบกราบราบกับพื้นแล้ว เทพทั้งเจ็ดก็แสร้งทำเป็นร้องรำทำเพลงไปต่างๆนาๆด้วยภาษาที่ล้ำยุคสมัยเกินกว่าที่คนยุคนี้จะเข้าใจได้ ขณะเดียวกันก็รีบไปนำคบไฟมาช่วยกันเผาเสบียงทั้งหมด ทำให้รอบๆเกิดความร้อนจัด แต่พวกทหารก็ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้น เพราะคิดว่าเทพเจ้าเสด็จลงมาแล้ว
ปรียานุชเปิดมือถือเป็นเพลงจิงเกิ้ลเบล แล้ววางเอาไว้บนแท่นพิธีที่ใช้สำหรับบูชาเทพเจ้า ปล่อยให้มันทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อเทพเจ้าไปโดยอัตโนมัติ จากนั้นทั้งเจ็ดคนก็รีบไปขึ้นม้าของตนโดยเร็วที่สุด แล้วพากันขี่จากมาเงียบๆ โดยไม่มีทหารไล่ติดตามมาแม้สักคนเดียว
หลังจากหนีพ้นมาได้แล้ว พวกเขาขี่ม้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยคำนวณว่าถ้าไปทางทิศนี้น่าจะไปถึงกรุงเทพได้อย่างแน่นอน พวกเขาไม่มีเข็มทิศ จึงได้แต่อาศัยดูจากทางทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเอา แต่กลางวันนั้นร้อนแดดแผดจ้า กลายเป็นว่าทำให้การเดินทางยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นไปอีก พวกเขาจึงต้องหยุดพักกันบ่อยขึ้น
แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เราจะไปถึงกรุงเทพได้ล่ะเนี่ย ศิลาบ่นกระปอดกระแปด
ไม่รู้โว้ย แต่ไงๆก็ต้องไปให้ถึงแหละวะ หมีอ้วนพูดพลางก็ดื่มน้ำจากภาชนะรูปทรงประหลาดๆ
ไปถึงแล้ว เราจะทำไงต่อไปเหรอ? ภาคินีถาม
ทั้งหมดหันมามองหน้ากันเอง เพราะยังไม่มีใครทันคิดถึง เรื่องนั้นมาก่อน
ก็ไปรายงานให้พวกคนกรุงเทพรู้ว่า พวกพม่าจะยกทัพมาโจมตี พวกเขาจะได้เตรียมหาทางป้องกันไง นิลเนตรบอก
แล้วหลังจากนั้นล่ะ เราคงไม่ได้จะอยู่ที่โลกนี้ตลอดไปใช่ ไหม? ภาคินีถามอีกครั้ง
ทุกคนอึ้งไปกันหมด พวกเขาเองก็นึกอยากจะกลับบ้าน แต่ก็ไม่รู้วิธีกลับไปยังโลกของตน
หรือว่าเราจะติดอยู่ที่นี่ตลอดไป? ธิติมาพูดแล้วก็กลัวขึ้นมาว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
ไม่หรอก ต้องมีหนทางสักอย่างแหละ ปรียานุชพูด
แล้วหนทางอะไรล่ะ? ภาคินีหันไปถาม
ปรียานุชอึกอัก เพราะนึกอะไรไม่ออก
เรามาลองช่วยกันนึกดูดีๆดีกว่า อาจมีหนทางกลับโลกของเราจริงๆก็ได้ ลองคิดดูซีว่า เราเข้ามาที่โลกนี้ได้ยังไง มันน่าจะมีอะไรสักอย่างที่เป็นตัวเชื่อมต่อ สามารถพาเรากลับไปได้นะ นิลเนตรเสนอให้ทุกคนลองช่วยกันนึกดู
ตัวเชื่อมต่อเหรอ? ใช่แล้ว ต้องเป็นตัวเชื่อมต่อนี่แน่ๆ ธิติมาพูดอย่างมั่นใจมาก
ทำไมคิดอย่างงั้น? เกียรติภูมิถาม
แหม ก็ในหนังที่เขาฉายให้ดูน่ะ นางเอกที่พลัดหลงมายุคในอดีตได้นะ ต้องผ่านตัวเชื่อมต่ออะไรสักอย่าง แล้วถึงจะมาที่โลกนี้ได้ไง อย่างเรื่องทวิภพ ก็ผ่านมาทางกระจก แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็พลัดตกลงไปในน้ำ อะไรแบบนี้
เกียรติภูมิฟังแล้วหน่ายใจ ไม่อยากเชื่อเลย
ปัญญาอ่อน หมีอ้วนว่า
ธิติมาทำปากเบี้ยวน้อยๆที่พวกผู้ชายไม่มีใครยอมเชื่อ
แต่ถ้ามันจะเป็นหนทางกลับบ้านได้ เราจะไม่ลองหน่อย รึไง ปรียานุชถามทุกคน
แล้วอะไรล่ะ ที่พวกเธอว่าน่าจะเป็นตัวเชื่อมต่อที่ว่านั่น เกียรติภูมิถาม ตอนนี้เขายังไม่ค่อยอยากเชื่ออยู่ดีว่าจะมีตัวเชื่อมต่ออยู่จริงๆ
ก็นั่นไง พระแสงดาบของรัชกาลที่๑ไงล่ะ ธิติมาพูดขึ้นอย่างมั่นใจมาก
ทุกคนตะลึงมองคนพูดอยู่เป็นครู่
จริงด้วย พระแสงดาบ ฉันจำได้ว่า หลังจากจ้องมองไปที่พระแสงดาบของท่านแล้ว ก็รู้สึกเหมือนกับโดนพลังสะกดอะไรสักอย่างจนแทบขยับตัวไม่ได้ แล้วก็หมดสติไป ภาคินีพูดอย่างนึกขึ้นมาได้
ใช่ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน หมีอ้วนยอมรับ
ทุกคนหันไปมองหน้าเกียรติภูมิว่า เขาจะว่าไง
พระแสงดาบเหรอ? หมายความว่า พวกเราต้องเดินทางเข้ากรุงเทพให้ได้ แล้วก็ต้องเข้าเฝ้ารัชกาลที่๑เพื่อทูลขอพระแสงดาบของพระองค์อย่างงั้นเหรอ
พวกเขานิ่งอึ้งกันไปเลย เพราะฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝัน
พูดเป็นบ้าไปได้ แบบนี้พวกเราก็หมดสิทธิ์กลับไปโลกของเราเลยน่ะซี ศิลาไม่อยากเชื่อ
ทำไมพูดจาตัดกำลังใจกันแบบนี้ ปรียานุชไม่พอใจ
ยังจะมีกำลังใจอีกเหรอ เธอคิดว่าใครที่ไหนเขาจะยอมให้เราเข้าเฝ้ารัชกาลที่๑ง่ายๆกัน แล้วคิดเหรอว่า ถึงมีโอกาสได้เฝ้าเพื่อทูลขอพระแสงดาบ พระองค์จะยอมประทานของสำคัญแบบนั้นให้ เธอคิดว่าท่านจะยอมให้โดยดีหรือไง ฝันกลางวันแท้ๆ
ปรียานุชอึ้งไปเลย เพราะที่เขาพูดมานั้นฟังดูเห็นจะเป็นจริง คงไม่มีใครยอมแน่ๆ
ตัดใจลืมไปได้เลย ไม่มีทางหรอก ศิลาพูดอย่างแน่ใจที่สุด
พวกเขาจึงพากันนิ่งเงียบกริบไปเป็นครู่
นิล พวกเราจะไม่ได้กลับบ้านจริงๆเหรอ? ภาคินีหันไปถาม เป็นครั้งแรกที่เธออยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ
นิลเนตรเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน เพราะเรื่องนี้มันฟังดูเป็น เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเลยจริงๆ
นี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าไงเราพักกันหน่อยได้ไหม ตอนนี้คงไม่มีใครตามพวกเรามาแล้วล่ะ นิลเนตรถามคนอื่นๆ
ทุกคนหันมามองหน้ากันเองเป็นครู่
ก็ดีนะ พักหน่อยเหอะ ปรียานุชเห็นด้วย ตอนนี้เธอเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว
ก็ได้ เกียรติภูมิจึงให้ทุกคนหยุดม้า เพื่อจะได้พักผ่อนกันตรงนั้น
ว่าแต่เราต้องนอนที่นี่ด้วยหรือไง? ธิติมาถาม เธอไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะต้องมานอนกลางดินแบบนี้จริงๆ
ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา แถวๆนี้มองไม่เห็นบ้านคนเลย ถ้าไปถึงหมู่บ้านที่ไหนสักแห่ง เราอาจขอเตียงนุ่มๆยืมนอนก็ได้ หมี วนพูดอย่างช่วยไม่ได้
คิดว่าใครเขาจะให้นายยืมเตียงนอนกัน? ศิลาอดสอดปากไม่ได้
อีกฝ่ายถลึงตาใส่อย่างโมโห
แล้วจะมียุงหรือเปล่าเนี่ย? ปรียานุชกลัวโดนกัดจนผิวลายหมด
นี่ พวกนายก่อฟืนสิ นิลเนตรหันไปบอกผู้ชายสามคน
ก่อฟืน? ทั้งสามมองหน้าเธอ
ก็ใช่ซี ถ้าไม่ก่อฟืน แล้วเราจะทำกับข้าวกินได้ไง หรือว่าพวกนายจะให้พวกฉันเป็นคนก่อฟืนกัน งานแบบนี้มันหน้าที่ผู้ชายไม่ใช่หรือ เธอย้อนถาม
ทั้งสามคนไม่มีทางเลือก จึงต้องไปหาไม้มาก่อฟืน งัดวิชาลูกเสือเก่ามาใช้เท่าที่พอจะทำได้ ก่อนที่จะทานข้าวเย็น พอตะวันเริ่มคล้อย ก็พากันนั่งนิ่งเงียบไปหมด
พวกเขาทั้งหมดได้แต่เฝ้าครุ่นคิดไปต่างๆนาๆ ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเฝ้าจับตาดูพวกเขาอยู่นานแล้ว
พระเจ้าปดุงเสด็จมาถึงค่ายของกองทัพที่๑ และได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดคร่าวๆจากพวกทหาร ดังนั้นพอมาถึงก็สั่งการให้นำตัวแม่ทัพแมงยี แมงข่องกยอไปตัดหัวเสียให้สาสม
เหล่าทหารต่างกลัวเกรงกันอย่างบอกไม่ถูก เพราะท่านทรงกริ้วมากจนเห็นได้ชัด
เทพทั้งเจ็ดเช่นนั้นหรือ? พระเจ้าปดุงรับสั่งถามอย่างไม่เชื่อถือนัก
เป็นสัตย์จริงแท้พระพุทธเจ้าค่ะ บัดนี้ยังคงเหลืออาวุธเทพของพวกท่านทิ้งไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่พวกท่านเทพทั้งเจ็ดจะเสด็จหายไปไหนหาทราบไม่ ลางทีว่าอาจจะเสด็จกลับขึ้นสู่แดนสวรรค์เสียแล้วก็เป็นไปได้ ผู้เป็นล่ามทูลด้วยท่าทางสั่นกลัวอยู่
ไหน อาวุธเทพ? พระเจ้าปดุงอยากเห็น
จากนั้นก็มีคนนำใส่พานมาถวายให้ดู พระเจ้าปดุงหยิบมือถือขึ้นมาพิศดูอย่างงุนงง เพราะไม่เคยเห็นอาวุธชิ้นนี้มาก่อน
ไอ้ของพรรค์นี้มันจะใช้ทำสิ่งใดได้กัน? พระเจ้าปดุงไม่เชื่อเด็ดขาด
มันสามารถเปล่งเสียงร้องได้พระพุทธเจ้าค่ะ ทั่วปฐพีนี้ ข้าพระพุทธเจ้ายังหาได้มีอาวุธชนิดใดที่ส่งเสียงร้องได้มาก่อน ล่ามพูดอย่างมั่นใจมากยิ่งนักว่าไม่เคยเห็นจริงๆ
มันส่งเสียงร้องอย่างไรรึ พระเจ้าปดุงไม่เห็นจะได้ยินเลยสักนิด
ล่ามอึกอัก ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆอาวุธเทพก็หยุดร้องไปเสียเฉยๆ
พระเจ้าปดุงข้องใจไม่หาย ท่านกดลงไปบนปุ่มหนึ่ง แล้ว จู่ๆก็มีเสียงดังปี๊บๆขึ้นมา เล่นเอาทุกคนตกใจ พระเจ้าปดุงเองก็ยังเผลอทิ้งอาวุธเทพลงกับพื้น แล้วถอยหลังกรูดหลบไปรวมกับเหล่าทหารอารักขาที่รีบเข้ามาถวายการปกป้องตามหน้าที่
จะจัดการกับมันเช่นไรพระพุทธเจ้าค่ะ ล่ามถามอย่าง รู้สึกนึกหวั่นกลัวขึ้นมาในทันใด เพราะไม่รู้ว่าอาวุธเทพจะสำแดงฤทธิ์อะไร
จัดการทำลายทิ้งไปเสียโดยเร็ว จะทุบหรือจะทำอย่างไรก็ได้ พระเจ้าปดุงเองก็ตกใจมากเช่นกัน เล่นเอาพระพักตร์ขาวไปเลย
แต่มันเป็นอาวุธเทพนะพระพุทธเจ้าค่ะ แค่ศาตราวุธธรรมดาจะไปจัดการทำลายมันได้อย่างไร ล่ามกล่าวค้านโดยเร็ว
เช่นนั้นก็จงไปเอาปืนใหญ่มายิงทำลายทิ้งก็สิ้นเรื่อง
เหล่าทหารได้ยิน ก็รีบไปขนปืนใหญ่มา ทุกคนพากันรีบหลบไปไกลๆ จะได้ไม่โดนลูกหลง พระเจ้าปดุงเองก็จำต้องรีบย้ายไปประทับอยู่ที่อื่น ก่อนจะมีการใช้ปืนใหญ่ยิงไปที่โทรศัพท์มือถือ จนรอบบริเวณนั้นแหลกเหลวไปหมดแทบไม่มีชิ้นดี
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
|