หน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๑๓...

นิลเนตรเขียนเป็นบทความขึ้นทูลถวายเพื่อให้ทรงอ่านวินิจฉัยดู รัชกาลที่๑ทรงนำไปอ่านด้วยความสนพระทัย
“นี่เป็นวิธีกระบวนรบของพระเจ้าปดุงที่เตรียมกองทัพที่จะยกเข้ามาตีเมืองไทย เกณฑ์คนทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองขึ้น ตลอดจนเมืองประเทศราชหลายชาติหลายภาษา รวมจำนวนพล ๑๔๔,๐๐๐ จัดเป็นกระบวนทัพ ๙ทัพ โดยกำหนดว่าให้ยกมาตีกรุงเทพ ๕ทัพ เป็นจำนวนพล ๘๙,๐๐๐ ตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ๒ ทัพ จำนวนพล ๓๕,๐๐๐ ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก๒ทัพ จำนวนพล๒๐,๐๐๐” นิลเนตรทูลให้ทรงทราบ “กระบวนทัพที่พระเจ้าปดุงยกมาครั้งนี้ ผิดกับกระบวนทัพที่พม่าเคยยกมาตีเมืองไทยแต่ก่อนที่ยกมาแต่ทางเดียว บางทีก็ยกมาเป็น๒ทาง แต่คราวนี้ยกมาถึง ๕ทาง คือทางใดที่พม่าเคยยกกองทัพเข้ามาเมืองไทยแต่ก่อน ก็ให้กองทัพยกเข้ามาหมดทุกทาง ประสงค์จะเอากำลังใหญ่หลวงเข้ามาทุ่มตีให้พร้อมกันหมดทุกด้าน มิให้ฝ่ายไทยมีประตูที่จะสู้ได้ แต่ที่แท้พระเจ้าปดุงหาปรีชาญาณในยุทธวิธีเหมือนพระเจ้าหงสาวดีแต่ปางก่อน กะการประมาณพลาดในข้อสำคัญ ด้วยไพร่พลมากมายย้ายแยกกันเป็นหลายทัพหลายกอง และยกมาหลายทิศหลายทางนั้น ยากที่จะเดินทัพเข้ามาถึงที่มุ่งหมายให้พร้อมกันได้ ที่ยิ่งสำคัญกว่านั้นคือ มิได้คิดถึงความยากในเรื่องที่จะหาและลำเลียงเสบียงอาหารให้พอเลี้ยงกองทัพได้หมด ความพลาดพลั้งทั้ง๒ข้อนี้ ที่ฝ่ายไทยเราเอาเป็นประโยชน์ในการต่อสู้พม่า”
“แม่ทัพทั้ง๙ทัพนี้ ทัพที่๑คือแมงยี แมงข่องกยอ ถูกพระเจ้าปดุงประหารชีวิต เพราะเตรียมเสบียงไว้ไม่ทัน มันก็ตรงกับเรื่องที่พวกเจ้าช่วยกันเผาเสบียงนี่ เช่นนั้นประวัติศาสตร์ก็หาได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย” รัชกาลที่๑อ่านแล้วทรงประหลาดพระทัยในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
นิลเนตรก็ทำหน้างงๆเหมือนกัน
“คงจะบังเอิญแหละเพคะ ถึงพวกเราไม่มาที่นี่ แม่ทัพคนนี้ก็คงจะถูกประหารชีวิตอยู่ดี”
“เป็นเช่นนั้นจริงรึ?” รัชกาลที่๑ดูสงสัย
“ทรงคิดว่าที่แม่ทัพผู้นี้ถูกประหาร เพราะการมาของพวกเราหรือเพคะ?”
“เจ้าเห็นว่าหรือไม่ใช่”
นิลเนตรมุ่นคิ้ว ชักไม่เข้าใจเสียแล้ว
“หากพวกเจ้าไม่ได้มาที่นี่ บางทีแม่ทัพคนนี้อาจจัดเตรียมเสบียงได้สำเร็จ ก็อาจไม่ต้องถูกประหารชีวิต หากเจ้าไม่บอกให้เราเร่งทัพออกไป ประวัติศาสตร์อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่งเสียก็ได้ แล้วการที่เราถูกยิงจนบาดเจ็บ ไม่อาจยกทัพไปด้วยตัวเอง มันก็ต้องตรงกันทุกอย่างมิใช่หรือ เราหาเห็นมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลยไม่”
“แต่ประวัติศาสตร์ไม่มีบันทึกเรื่องของพวกเรา ไม่มีเขียนถึงเรื่องที่ทรงถูกยิง อีกทั้งไม่มีพบจดหมายเหตุใดๆ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการพิเคราะห์ดูจากผลการรบที่ตามมาเท่านั้น จริงๆเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันเองก็ไม่รู้”
รัชกาลที่๑จึงมิได้ดำริใดๆทั้งสิ้น

ามพงศาวดาร กรมพระราชวังบวรเสด็จยกกองทัพออกจากกรุงเทพฯในเดือนอ้าย ปีมะเส็ง ทรงจัดให้พระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากรเป็นกองหน้า เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาเป็นยกกระบัตรทัพ เจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหานายกเป็นเกียกกาย พระยามณเฑียรบาลเป็นกองหลัง ยกไปถึงเมืองกาญจนบุรี(เก่า) ให้ตั้งค่ายมั่นในทุ่งลาดหญ้าที่เชิงเขาบรรทัดเป็นหลายค่าย ชักปีกกาถึงกันสกัดทางที่พม่าจะยกเข้ามา แล้วทรงจัดให้พระยามหาโยธา (เจ่ง) คุมกองมอญจำนวนพล ๓,๐๐๐ ยกออกไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ด่านกรามช้าง อันเป็นช่องเขาริมลำน้ำแควใหญ่ในทางที่ข้าศึกจะยกมานั้นอีกแห่งหนึ่ง
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ทัพเมียนหวุ่นที่๔ยกเข้ามาก่อน เดินผ่านแขวงเมืองไทรโยคตัดลงมาทางริมน้ำแควใหญ่ที่เมืองท่ากระดาน เดินทางริมน้ำต่อลงมาถึงด่านกรามช้าง พม่ามากกว่าก็ระดมตีค่ายกองมอญซึ่งรักษาทางด่านกรามช้างแตก แล้วยกเข้ามาถึงชายทุ่งลาดหญ้าที่กองทัพกรมพระราชวังบวรฯตั้งรับอยู่ ทัพพม่าที่๔ก็ตั้งค่ายลงตรงนั้น ครั้นทัพเมียนหวุ่นที่๕ตามเข้ามาถึงที่ตั้งค่ายเป็นแนวรบต่อกันไป จำนวนพลพม่าทั้ง๒ ทัพรวม ๑๕,๐๐๐
ในพงศาวดารพม่าว่า กองทัพพม่ายกเข้ามาได้สู้รบกับกองมอญที่รักษาด่านกรามช้าง กองมอญล่าถอย พม่าติดตามมาถึงค่ายไทยที่ลาดหญ้า พม่าก็ตรงเข้าตีค่ายไทย ได้รบกันเป็นสามารถ พม่ารบถลำเข้ามาให้ไทยล้อมจับได้กอง๑ นายทัพพม่าเห็นว่าไทยมีกำลังมากเกรงจะเสียที จึงให้ตั้งค่ายมั่นลง หวังจะรบพุ่งขับเคี่ยวกับไทยต่อไป
เมื่อกองทัพหน้าของพม่ายกเข้ามาปะกองทัพไทยที่ทุ่งลาดหญ้า ก็ต้องหยุดอยู่เพียงเชิงเขา เมื่อกองหน้าหยุด กองทัพที่ยกตามมาข้างหลังก็ต้องหยุดอยู่บนภูเขาเป็นระยะกันไป ปรากฏว่าทัพตะแคงกามะราชบุตรทัพที่๖ตั้งอยู่ที่ท่าดินแดง ทัพตะแคงจักกุราชบุตรทัพที่๗ตั้งอยู่ที่สามสบ ทัพหลวงของพระเจ้าปดุงทัพที่๘ ต้องตั้งอยู่ที่ปลายลำน้ำลอนซี พ้นพระเจดีย์สามองค์เข้ามาเพียง๒ระยะ กองทัพพม่าตั้งอยู่บนเขาจะหาเสบียงอาหารในแดนไทยไม่ได้ ก็ต้องหาบขนเสบียงจากแดนเมืองพม่าข้ามเขามาส่งกันทุกทัพ พม่าจึงเสียเปรียบไทยตั้งแต่แรกยกข้ามแดนไทยเข้ามาด้วยประการฉะนี้
“ไอ้พวกข้างหน้ามัวชักช้ากระไรอยู่” พระเจ้าปดุงเกรี้ยวกราดขัดพระทัย
“ขอเดชะ บัดนี้กองทัพที่ตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขา กำลังปะทะกับข้าศึกอยู่เต็มกำลัง ฝ่ายเราปลูกหอรบเอาปืนใหญ่ขึ้นยิงค่ายของศัตรู แต่ทางโน้นก็เอาปืนใหญ่และปืนปากกว้างยิงด้วยท่อนไม้เป็นกระสุน ไปตั้งรายยิงหอรบของเราหักพังลงมาและถูกผู้คนล้มตาย” มีผู้ถวายรายงานการรบในแนวหน้าให้ทรงทราบความคืบหน้า
พระเจ้าปดุงได้ฟังก็ถึงกับนิ่งอึ้ง พูดอะไรแทบไม่ออก
“เพลานี้ทัพของเราเองก็กำลังขัดสนเสบียงอาหาร หนำซ้ำกองทัพหน้าก็ต้องมาประชิดข้าศึกอยู่ที่เชิงเขา ไม่อาจเดินหน้าต่อไป จะทรงมีดำริถอยกลับตอนนี้ หรือจะให้ฝืนสู้ต่อไป หากจะทรงสู้ต่อ ก็ควรจะจัดหาเสบียงส่งไปให้กับกองทัพหน้าให้เพียงพอด้วยพระพุทธเจ้าค่ะ”
“ส่งเสบียงไป” รับสั่งห้วนๆ เพราะยังไม่อยากถอยกลับเอาตอนนี้ มีหวังผู้คนได้หัวเราะเยาะกันพอดี
กรมพระราชวังบวรทรงตั้งกองโจรขึ้นกลุ่มหนึ่ง ให้พระยาสีหราชเดโชชัย พระยาท้ายน้ำกับพระยาเพชรบุรี คุมไปซุ่มสกัดคอยตีลำเลียงเสบียงอาหารที่จะส่งมายังค่ายของข้าศึก แต่การหาสำเร็จดังสมประสงค์ไม่
“พวกเจ้าทั้งสามไปมัวทำกระไรอยู่?” ทรงตรัสถามอย่างกริ้วจัดเป็นอันมาก
“เอ่อ...พวกข้าพระองค์...”
“คงจะไปอ่อนแอและขี้เกียจล่ะซี ทหาร ลากมันทั้งสามไปตัดหัวเสีย”
“ขอได้ทรงโปรด ไว้ชีวิตด้วย”
แต่กรมพระราชวังบวรก็หาฟังไม่ ทุกคนก็พากันนิ่งอึ้งกันไปหมด
พระองค์เจ้าขุนเณรเห็นเช่นนั้น จึงรีบอาสาขึ้นมา
“ขอพระองค์ทรงพระทัยเย็น หม่อมฉันขอรับอาสาไปดักปล้นชิงเสบียงของไอ้พวกพม่าครั้งนี้เอง”
หลังจากนั้นพระองค์เจ้าขุนเณรถือพล๑,๘๐๐ไปเป็นกองโจรซุ่มอยู่ที่พุตะไคร้ทางลำน้ำแควไทรโยค ซึ่งใกล้กับทางที่พม่าจะส่งลำเลียงมา และปล้นเสบียงของพวกพม่ามาได้เสียเนืองๆ กองโจรของไทยที่ไปซุ่มอยู่ตีเอาไปได้หมด จนทีหลังพม่าก็ส่งเสบียงให้กันไม่ได้

รุงเทพมหานคร
รัชกาลที่๑มีพระดำรัสเรียกหาเด็กหนุ่มทั้งสามมาเฝ้า และทรงมีกระแสรับสั่งว่าจะยกกองทัพหลวงออกจากเมืองเพื่อไปสมทบกองทัพของกรมพระราชวังบวร
“บัดนี้อาการเราก็หายเป็นปรกติแล้ว เราจึงอยากจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง พวกเจ้าสามคนจะเห็นเป็นอย่างไร” ทรงรับสั่งถามความเห็น
“ยังทรงวิตกอยู่หรือพะเจ้าค่ะ?” เกียรติภูมิถาม
“จะให้เราวางใจได้กระนั้นหรือ? ครั้งนี้พม่ายกทัพมามากมายเป็นประวัติการณ์ แม้นว่าพวกเจ้าจะพูดอย่างไร เราก็ไม่อาจวางใจได้เสียที ไม่รู้ว่าน้องเราจะต้านทานไว้ได้จริงหรือไม่”
“หากทรงแคลงใจเช่นนั้น ก็ไปดูให้เห็นกับตาองค์เองก็ได้ ส่วนพวกข้าพระพุทธเจ้าจะขอติดตามไปอารักขา หากไม่ทรงเห็นว่า พวกเราจะเป็นแค่ตัวถ่วง”
รัชกาลที่๑แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย
“เช่นนั้นเราก็ขอบใจมาก”
ขณะนั้นเอง เด็กสาวทั้งสี่ก็ได้พากันมาเข้าเฝ้า รัชกาลที่๑ทอดพระเนตรเห็นภาคินีลุกเดินได้เป็นปรกติ ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แสดงความปราณี
“เจ้าหายดีแล้วกระนั้นหรือ?” รับสั่งถาม
“เพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง” ภาคินีกล่าว
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เราจะได้ออกเดินทางอย่างวางใจ” รัชกาลที่๑ตรัส
“จะทรงไปไหนหรือเพคะ?” นิลเนตรเริ่มไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาอีก
“พระองค์ยังมีความวิตกกังวลอยู่ จึงทรงอยากจะไปดูเหตุการณ์ด้วยพระองค์เอง” เกียรติภูมิเป็นคนตอบเสียเอง “เธออย่าได้ห่วงไปเลย เราสามคนจะตามไปด้วย จะคอยอารักขาพระองค์เอง”
“นั่นซี ตามพงศาวดารที่ฉันอ่านมา ไงๆท่านก็ต้องเสด็จอยู่แล้ว เพราะงั้นปล่อยท่านไปเถอะ” หมีอ้วนพูดให้ได้คิด
“ทรงถนอมพระวรกายด้วยนะเพคะ” นิลเนตรทูล
รัชกาลที่๑เพียงแต่แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย
“รอไว้เสร็จจากสงครามครั้งนี้ก่อน เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นเจ้าจอมของเรา”
นิลเนตรนิ่งอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองคนอื่นๆ
เกียรติภูมิพยักหน้าให้เธอ เป็นเชิงบอกว่าให้เธอตอบรับ คนอื่นๆเองก็ดูไม่มีใครกล้าคัดค้านสักคน เหมือนจะเห็นพ้องต้องกันหมด
นิลเนตรจึงกราบบังคมแทบเบื้องยุคคลบาท
“ขอบพระทัยเพคะ”

วันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น ๙ ค่ำ รัชกาลที่๑ได้ยกกองทัพหลวงออกจากกรุงเทพ เสด็จไปจนถึงค่ายกรมพระราชวังบวร ขณะนั้นการสู้รบ ฝ่ายไทยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะพวกพม่ากำลังอดอยากเต็มที
“ขอได้ทรงโปรด พวกพม่าอดอยากมากอยู่แล้ว อย่าให้ทรงพระวิตกถึงทางนี้เลย พวกมันคงจะแตกพ่ายในไม่ช้านี้แล ขอเสด็จกลับคืนพระนครเถิด เผื่อข้าศึกจะหนักแน่นมาทางอื่น จะได้ตามไปอุดหนุนกันทันท่วงที” กรมพระราชวังบวรกราบบังคมทูล
“เช่นนั้นเราก็วางใจ” รัชกาลที่๑จึงเรียกทุกคนพากันกลับกรุงเทพ
เกียรติภูมิไม่เข้าใจ จึงเข้าไปทูลกระซิบถาม
“เหตุใดพระองค์ถึงไม่บอกถึงเรื่องที่เรารู้ให้กรมพระราชวังบวรทราบพะเจ้าค่ะ?”
“หาจำเป็นไม่ น้องเรามีสติปัญญา การรบครั้งนี้เองก็เห็นชัยชนะอยู่แล้ว หากจะว่าเป็นไปตามประวัติศาสตร์จริงแท้ แม้เราไม่พูดอะไรเลย พวกเขาก็ต้องคิดขวนขวายหาทางออกจนได้เอง การได้รู้อนาคตล่วงหน้ามันก็ดี แต่ถ้ารู้แล้วจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ก็อย่าต้องให้รู้เลยจะดีกว่า”
เกียรติภูมิจึงทำท่าเข้าใจขึ้นมา และก็อดเห็นด้วยไม่ได้
“กรมพระราชวังบวรพระองค์นี้มีตำแหน่งเป็นมหาอุปราชใช่หรือไม่พะเจ้าค่ะ” ศิลาอดถามขึ้นมาไม่ได้
“คิดจะพูดอะไร?” หมีอ้วนถาม ชักระแวงขึ้นมา
“เปล่า ก็แค่สงสัยเฉยๆ ไม่ได้คิดจะทำตัวเป็นปัญหาอีกสักหน่อย ก็ถ้าเป็นมหาอุปราช หมายถึงคือผู้สืบทอดราชสมบัติ ซึ่งก็คือพระมหากษัตริย์องค์ต่อไปไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนหลังถึงไม่ได้ครองราชย์ล่ะ”
“แกเนี่ยถ้าจะไม่รู้ประวัติศาสตร์จริงๆล่ะซี กรมพระราชวังบวรประชวรสวรรคตไปก่อน เมื่อตอนพระชนมายุ๖๐ชันษา ดังนั้น รัชกาลที่๑จึงโปรดเกล้าให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นตำแหน่งที่มหาอุปราชแทน ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไงล่ะ ถึงจะเป็นมหาอุปราช แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะมีโอกาสได้ครองราชย์จริงๆ ของแบบนี้มันอยู่ที่บุญพาวาสนาส่ง พระองค์เจ้าลำดวนกับพระองค์เจ้าอินทปัตที่เป็นราชบุตรเองก็ถูกสำเร็จโทษด้วยข้อหาก่อกบฎ เมื่อปลายรัชสมัยของรัชกาลที่๑เช่นกัน”
รัชกาลที่๑ปรายพระเนตรมาทั้งสองคน ทำเอาทั้งคู่รีบหุบปากแทบไม่ทัน ด้วยกลัวจะทรงพิโรธ
“อย่าพูดเหลวไหล นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดกันเล่นหัวหยอกเย้าได้ ห้ามพวกเจ้าพูดเรื่องนี้อีกเป็นอันขาด”
“พะเจ้าค่ะ” ทั้งสามรีบรับคำพร้อมกัน
จากนั้นพระองค์ก็เสด็จนำทุกคนกลับคืนพระนคร

รมพระราชวังบวรทรงทำกลอุบายขึ้นอย่างหนึ่ง ครั้นถึงเวลากลางคืนดึกสงัด เหล่าทหารส่วนหนึ่งก็แอบลักลอบออกไปพ้นจากสายตาพม่า พอตอนเช้าก็พากันเดินถือธงทิวกลับเข้าทัพ ทำราวกับว่ามีกองทัพหนุนส่งมาเพิ่ม พวกทหารพม่าที่ปักหลักอยู่ที่สูงกว่า เห็นกองไทยได้กำลังเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ ก็พากันหวาดหวั่นยิ่ง
“พวกมันมีกำลังส่งเข้ามาเพิ่ม จำนวนคนก็ต้องยิ่งมากขึ้นไปอีก แล้วพวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับพวกทัพไทยได้” เสียงพูดดังขึ้นมาแทบจะทั่วทั้งกองทัพ
ครั้นถึงวันศุทร์ เดือน ๓ แรม๔ค่ำ ปีมะเส็ง กรมพระราชวังบวรจึงสั่งให้กองทัพไทยเข้าระดมตีค่ายพม่าที่กำลังอดอยากครั่นครามอยู่พร้อมกันทุกค่ายในเวลาเดียวกัน พม่าก็แตกฉานทั้งกองทัพที่๔และที่๕ ไทยได้ค่ายพม่าหมดทุกค่าย ฆ่าฟันพม่าล้มตายเสียเป็นอันมาก ที่เหลือตายแตกหนีกลับไป กองโจรของพระองค์เจ้าขุนเณรพบเข้าก็ตีซ้ำเติมฆ่าฟันพม่าและจับส่งมาถวายอีกก็มาก
“ทัพหน้าแตกแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ” นายกองเข้ามาทูลพระเจ้าปดุงด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“บัดซบ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” พระเจ้าปดุงพิโรธ
“ขอได้ทรงโปรด บัดนี้เราเห็นไม่อาจจะทำการได้สำเร็จดังประสงค์เป็นแน่ โปรดเรียกให้กองทัพทุกหน่วยรีบถอยกลับเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นเราจะยิ่งเสียไพร่พลมากไปกว่านี้”
พระเจ้าปดุงไม่มีทางเลือก สุดท้ายจึงต้องสั่งให้กองทัพรีบถอยกลับเป็นการด่วน

ฝ่ายกองทัพพม่าที่๒ อนอกแฝกคิดหวุ่นเป็นแม่ทัพยกมาตั้งที่เมืองทวาย เมื่อรวบรวมรี้พลได้พร้อมแล้ว จึงจัดให้พระยาทวายเป็นกองหน้าถือพล ๓,๐๐๐ ตัวอนอกแฝกคิดหวุ่นเป็นกองหลวงถือ พล๔,๐๐๐ ให้จิกสิบโบ่เป็นกองหลัง ถือพล ๓,๐๐๐ ยกเข้ามาทางด่านบ้องตี้ แต่ทางที่ข้ามภูเขาเป็นทางกันดารกว่าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ช้างม้าพาหนะเดินยาก ต้องรั้งรอกันมาทุกระยะจึงเข้ามาช้า ที่สุดพระยาทวายกองหน้ามาตั้งค่ายที่นอกเขางู อนอกแฝกคิดหวุ่นแม่ทัพตั้งที่ท้องชาตรี จิกสิบโบ่ทัพหลังตั้งที่ด่านเจ้าขว้าวริมลำน้ำพาชี ไม่รู้ว่ากองทัพพม่าทางลาดหญ้าแตกไปแล้ว แต่เจ้าพระยาธรรมาและพระยายมราช ซึ่งไปตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรีก็ประมาท ไม่ได้ให้กองลาดตระเวณออกไปสืบ หาทราบว่ามีกองทัพพม่าเข้ามาถึงลำน้ำพาชีและหลังเขางูไม่ จนกรมพระราชวังบวรมีชัยชนะที่ลาดหญ้าเสร็จแล้ว จึงมีรับสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนากับพระยาจ่าแสน ยากรคุมกองทัพกลับลงมาทางบก มาทราบว่าพม่าตั้งค่ายอยู่ที่นอกเขางูจึงยกกองทัพเข้าตีค่ายพม่า ได้รบพุ่งกันถึงตะลุมบอน พม่าทานกำลังไม่ได้ก็แตกหนีทั้งกองหน้าและกองหลวง ไทยไล่ติดตามฆ่าฟันไปจนปะทะทัพหลัง ทัพหลังก็พลอยแตกไปด้วย กองทัพไทย จับพม่าและเครื่องศัสตราวุธช้างม้าพาหนะได้เป็นอันมาก ที่เหลือก็พากันรีบหนีกลับไปเมืองทวาย
“การรบที่ปากพิงล่ะ เป็นเช่นไร?” รัชกาลที่๑รับสั่งถาม เมื่อเสด็จกลับมาถึงพระนคร
“พระยากาวิละรบเข้มแข็งมาก พม่าทำอะไรไม่ได้ เลยลงมาตีเมืองพิษณุโลกพะเจ้าค่ะ” หมีอ้วนทำหน้าที่ทูลตอบ เพราะทั้งเกียรติภูมิและศิลาไม่รู้เรื่องตรงช่วงนี้
“แล้วอย่างไรอีก?”
“ขออย่าทรงห่วง กองทัพกรมพระราชวังหลังและกองทัพพระยามหาเสนาช่วยกันตีทัพพม่าที่ปากพิง ได้สู้รบกันเป็นสามารถขั้นตะลุมบอน รบกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ กองทัพพม่าถูกตีแตกหมดทุกค่าย มีทหารพม่าข้ามน้ำหนี ถูกทหารไทยตามฆ่ากลางแม่น้ำได้ประมาณสัก๘๐๐ วันรุ่งขึ้นศพทหารพม่าลอยอืดเต็มแม่น้ำ จนกินน้ำกันไม่ได้”
เกียรติกูมิกับศิลามองหน้ากันเอง แค่นึกภาพก็ขนหัวลุกขึ้นมาแล้ว แต่รัชกาลที่๑กลับไม่รับสั่งอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ส่วนทางกองทัพเรือพม่าที่ยกไปตีเมืองถลาง เวลานั้นเจ้าเมืองถลางป่วยหนักจนถึงแก่อนิจกรรม ยังไม่ได้ตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ คุณหญิงจันทร์ภรรยาพระยาถลางร่วมกับคุณมุกน้องสาว ปรึกษากันกับกรมการเมือง คิดอ่านหาทางต่อสู้พม่า ช่วยกันตั้งค่ายคูป้องกันเมืองและต่อสู้พม่าเป็นสามารถมิได้ย่อท้อ พม่าล้อมเมืองอยู่เดือนเศษก็ตีหักเอาเมืองมิได้ เมื่อหมดเสบียงอาหารก็เลิกทัพไปเอง”
“ท้าวเทพสตรีและท้าวศรีสุนทร” รัชกาลที่๑มีพระดำริ
“ทรงทราบแล้วหรือพะเจ้าค่ะ?” หมีอ้วนไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ เพราะคิดว่าคงมีใครเล่าให้ฟังแล้วก็ได้
“นิลเนตรเล่าให้ฟัง เรื่องของวีรสตรีทั้งสอง” รัชกาลที่๑รับสั่งแล้วทรงพระสรวลน้อยๆ “ผู้หญิง”
“อย่าทรงรับสั่งเช่นนี้ให้นิลเนตรได้ยินจะดีกว่า ไม่งั้นได้โกรธเอาแน่ๆ” เกียรติภูมิรีบทูล
“ช้าไปแล้ว” รับสั่งแล้วส่ายพระพักตร์ออกมา
เด็กหนุ่มทั้งสามจึงมองหน้ากันเองตาปริบๆ นึกภาพแทบไม่ออกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคน
“เอ้า ไปพบหน้าวีรสตรีอีกคนกันเถิด” รับสั่งแล้วจึงให้เคลื่อนทัพหลวงเข้าพระนคร

นิลเนตรเข้ามาถวายบังคมต่อรัชกาลที่๑
“ทรงปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้วเพคะ” เด็กสาวพูดยิ้มๆ
“เราไปครั้งนี้ ก็แค่ไปดูเหตุการณ์เท่านั้นเอง” รัชกาลที่๑ รับสั่ง “เป็นไปตามที่เจ้าพูดมา การศึกนี้เห็นทีฝ่ายเราคงเป็นฝ่ายมีชัยเป็นแน่แท้”
นิลเนตรได้ยินก็พลอยสบายใจไปด้วย เพราะเธอเองก็อดหวั่นไม่ได้เหมือนกันว่า ประวัติศาสตร์อาจบิดเบือนไปจริงๆ
“เราเคยรับปากเจ้าไว้ว่า ถ้าหากชนะสงครามจริง ไม่ว่าเจ้าจะขอสิ่งใด เราก็จะประทานให้” รัชกาลที่๑รับสั่งยิ้มๆ ดูอารมณ์ดีเห็นได้ชัด
“ตอนนั้นหม่อมฉันขอให้ปล่อยเพื่อนๆหม่อมฉันให้เป็นอิสระ” นิลเนตรพูดเบาๆ
“พวกเพื่อนๆของเจ้าก็เป็นไทแก่ตัวอยู่แล้วนี่”
นิลเนตรจึงยิ้มออกมา
“ถ้างั้นหม่อมฉันขอ...”
“เจ้าจะขออะไรก็ตาม ควรใคร่ให้ดีเสียก่อน เพราะคำขอของเจ้ามีผลใช้ได้แต่หนเดียวเท่านั้น” ทรงรับสั่งขัดขึ้นเสียก่อน
เล่นเอานิลเนตรหน้ามุ่น ทำท่าคิดไม่ตกขึ้นมาแล้ว เพราะไม่รู้ว่าควรขออะไรดีที่สุด
รัชกาลที่๑และเด็กหนุ่มทั้งสามจึงพากันเห็นขันไปหมด
“ถ้าคิดไม่ออก จะลองปรึกษาเพื่อนๆเจ้าดูก็ได้ แต่เราแนะว่า ควรขอในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเองจะดีที่สุด ไม่ควรจะขอเพื่อคนอื่น”
นิลเนตรจึงครุ่นคิดว่าอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อเธอมากที่สุด
“ถ้างั้นก็ขอให้พระองค์คอยปกป้องเธอสิ” เกียรติภูมิแนะ
“แม้เจ้าไม่ขอ เราก็ตั้งใจเช่นนั้นอยู่แล้ว” รัชกาลที่๑ทรงรับสั่ง
นิลเนตรจึงยิ้มหวาน นัยน์ตาฉายแววขอบคุณ
“เวลานี้หม่อมฉันยังคิดไม่ออกเพคะ ขอให้หม่อมฉันได้มีเวลาเก็บไปคิดดูก่อน”
“ได้สิ อยากจะคิดนานเท่าใดก็ได้” ทรงอนุญาต
นิลเนตรจึงยิ้ม คิดว่าจะค่อยๆลองคิดดูทีหลัง

ลังจากนั้น พวกของเกียรติภูมิก็ว่าจะออกไปหาซื้อข้าวของในตลาดกัน และอยากจะเดินดูว่าในเมืองเป็นอะไรบ้าง ไหนๆ พวกเขาก็ต้องอยู่ที่นี่แล้ว
“ไม่พาทหารคุ้มกันไปด้วยหรือท่าน?” ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูถามอย่างเป็นห่วง “หรือจะให้พวกข้าน้อยไปเป็นเพื่อนก็ได้นะขอรับ”
“โอ๊ย แค่นี้เอง ไม่ต้องหรอก” หมีอ้วนตัดรำคาญ
เกียรติภูมิเดินนำไปก่อน อีกสองคนก็รีบตามมาติดๆ ท่ามกลางผู้คนที่แต่งกายดูแปลกๆ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงก็ล้วนแต่งกายอย่างคนสมัยก่อนจริงๆ
“นี่หมีอ้วน นายรู้เรื่องยุคสมัยนี้สักแค่ไหนเหรอ?” ศิลาถามเขา
“ถามทำไม?” หมีอ้วนสงสัย
“ก็ถ้าเรารู้เรื่องราวสมัยนี้ ถือว่าได้เปรียบกว่าคนอื่นๆไม่ใช่ รึไง”
“แต่หลวงท่านบอกว่า ถ้ารู้ล่วงหน้าแล้ว จะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ก็อย่าให้รู้เลยดีกว่า”
“พูดแบบนี้แปลว่าจะไม่บอกกันเลยใช่ไหม?”
“แล้วฉันจำเป็นต้องบอกนายด้วยหรือไง อีกอย่างขืนบอกคนอย่างนาย มีหวังวันๆคงเอาแต่ประจบประแจง ไม่ยอมทำอะไรแหงๆ คนอย่างนายมันไว้ใจไม่ได้หรอกเฟ้ย”
“พูดงี้จะหาเรื่องกันใช่ไหม?”
“ไม่เอาน่า พวกนายสองคนยังจะหาเรื่องทะเลาะกันอีกรึไง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ยังไม่ได้ทำให้เราสำนึกตัวอีกหรือไงกัน” เกียรติภูมิเตือนสติพวกเขาให้ได้สำนึกตัวขึ้นมา
ทั้งสองคนจึงนิ่งอึ้งไปเป็นครู่ ก่อนจะมองหันมาหน้ากันเองด้วยท่าทางดูเสียใจอยู่
“ขอโทษที” หมีอ้วนพูดก่อน
“ไม่หรอก คนผิดตั้งแต่แรกมันฉันเองมากกว่า” ศิลาเองก็ยอมรับผิดโดยดี
เกียรติภูมิจึงยิ้ม และยื่นมือไปตบไหล่คนทั้งสอง
จากนั้นพวกเขาก็ไปเดินดูของ เข้าไปดูร้านตีดาบ ซึ่งเป็นร้านของนายช่างสิน
“ที่นี่ขายแต่ดาบอย่างเดียวหรือน้า?” เกียรติภูมิถาม
“ก็เห็นอยู่แล้ว ถ้าอยากได้ปืน ต้องไปซื้อกับพวกกรมการโน่น เขาไม่อนุญาตให้ขายกันหรอก” นายช่างสินบอก “เวลาพวกต่างชาติมาทำการค้าเอง ก็ต้องไปติดต่อที่โน่น ของแบบนี้จึงหาซื้อยาก ราคาแพง ถ้าอยากได้ราคาถูกๆ ก็ต้องลักลอบทำกันเอง หรือไม่บางทีก็มีเหมือนกัน พวกที่ไปเก็บของที่เขาทำตกทิ้งไว้จากสมรภูมิชายแดนมาขายไง”
ประโยคหลังพูดเบาๆ แสดงให้รู้ว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
สามคนมองหน้ากันเอง ทำหน้าผิดหวังเล็กๆ อยากได้ปืน แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงทำเรื่องติดคุกติดตะราง
“จริงสิ แล้วพวกพี่ฉายเขาเอาปืนมาจากไหน? หรือว่าเขาจะลักลอบซื้อจากพวกที่เอามาขายจากชายแดน?” ศิลาชักสงสัย
หมีอ้วนยักไหล่ เพราะไม่รู้เหมือนกัน
“อยากได้ปืนเรอะ” นายช่างสินถาม
“ครับ พวกเราคิดว่าน่าจะมีติดตัวไว้สักคนละกระบอกก็ยัง ดี” เกียรติภูมิบอก
“นึกว่าในตลาดจะมีวางขายเสียอีก” หมีอ้วนพูด
“แต่ท่าทางพวกเอ็งเป็นทหารในวังไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้ก็น่าจะรู้” นายช่างดูการแต่งตัวของพวกเขาที่ใส่เครื่องแบบเหมือนกับพวกทหารหลวงในพระราชวัง
“พวกเราเป็นพวกหน้าใหม่น่ะ” ศิลาบอก
นายช่างสินทำหน้าเข้าใจ
“ที่ร้านข้าไม่มีปืนขายหรอก จะมีก็แต่ดาบพื้นๆ เอาไว้ใช้ป้องกันตัวพอได้ ถ้าอยากได้ เอาเป็นพวกนี้ไปใช้แทนไหมล่ะ ปืนน่ะใช้ๆไปกระสุนหมดก็กลายเป็นแค่เศษเหล็ก เวลาอยู่ในสงครามน่ะ บางครั้งก็ต้องสู้ปะทะกันตัวต่อตัว มีดพกถือว่าสะดวกที่สุด ทั้งเบาและเก็บซ่อนง่าย ราคาก็ถูก” นายช่างสินทำท่าแนะนำ
พวกเขาสามคนจึงตั้งใจฟังกันเต็มที่ จนกระทั่งศิลาเหลือบตาไปเห็นโมกกับเช้งที่อยู่ร้านค้าฝั่งตรงข้าม ทั้งสองทำสัญญาณบอกให้รีบตามไป ศิลาไม่มีทางเลือก จึงแอบหลบเพื่อนๆทั้งสองคน แล้วตามพวกเขาไป
“มีอะไรหรือ? พี่โมก พี่เช้ง?” ศิลาถาม เมื่อมาอยู่กันแค่ตามลำพัง พ้นจากสายตาของคนอื่นๆแล้ว
“ยังจะถามอีกหรือว่ามีอะไร พวกข้ารอฟังข่าวคราวเจ้าอยู่จนแทบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เจ้าก็หาติดต่อเราไม่ หรือพอได้มีชีวิตสุขสบายในวัง ก็พลอยลืมพวกเรา” เช้งพูดอย่างไม่พอใจเป็นอันมาก
“ไม่ใช่งั้น ตอนเข้าวังไป พวกเราก็ย่ำแย่เหมือนกัน แทบจะเอาชีวิตไม่รอด เรื่องที่ผมกล่าวหาหลวงท่านเป็นกบฎต่อพระเจ้าตากสินน่ะ หลวงท่านทรงทราบหมดแล้ว”
“ว่าไงนะ?” โมกกับเช้งทำท่าไม่เชื่อ
“โกหก หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าจะมายืนพูดกับเราเช่นนี้ได้อย่างไร ป่านฉะนี้หลวงท่านจะน่าลากเจ้าไปตัดหัวเสียบประจานแล้ว” เช้งไม่เชื่อเด็ดขาด
“จริงๆนะ ตอนแรกพวกผมโดนสั่งกักบริเวณหมด แต่ตอนหลังหลวงท่านก็เรียกเรามาที่ท้องพระโรง แล้วก็หักพระแสงดาบของพระองค์ทิ้งเสีย เพื่อให้พวกเราหมดโอกาสกลับบ้าน พวกเราจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่ก้มหน้ากราบถวายตัวเป็นข้าของท่านโดยดี” ศิลาเล่าให้ฟังด้วยท่าทางดูเสียใจมาก
“พระแสงดาบถูกหักทิ้งเช่นนั้นรึ?” โมกมุ่นคิ้ว
“พวกผมเห็นกับตาตัวเอง ไม่ผิดแน่หรอก ทรงหักพระแสงดาบออกเป็นสองท่อน แล้วก็ให้คนนำไปฝังไว้นอกพระนคร ก็เพื่อให้พวกเราเลิกคิดกลับบ้านกัน”
“ฝังไว้ที่ตรงไหน?” โมกถาม
ศิลากับเช้งหันมามองหน้าโมกที่เป็นคนถาม
“พี่โมกคิดจะทำอะไรหรือครับ?”
“ไม่อยากกลับบ้านหรืออย่างไร? พวกเราจะช่วยให้เจ้าได้กลับบ้านอย่างที่ต้องการ”
“แต่พระแสงดาบ...”
“เมื่อหักได้ ก็เชื่อมกลับใหม่ได้”
“ถึงเชื่อมใหม่ ก็ใช่ว่าจะกลับมาใช้ได้อีกนี่ครับ ของที่มันหักร้าวไปแล้ว จะทำให้เหมือนเดิมอีกได้อย่างไร”
“เราจะหาช่างเก่งที่สุดในแผ่นดิน ให้ช่วยเชื่อมให้เหมือนเดิมที่สุด จะไม่ให้เหลือแม้แต่รอยร้าวเพียงแค่รอยแมวข่วน”
ศิลานิ่งอึ้ง
“ผมไม่รู้ว่าพระแสงดาบถูกนำไปฝังที่ไหน รู้แค่ว่าฝังอยู่ที่นอกพระนครเท่านั้น”
โมกกับเช้งจึงมองหน้ากันเอง
“ไม่เป็นไร ไว้เราจะลองสืบข่าวดูเองก็ได้ ถ้าถามชาวบ้านที่อยู่นอกเขตพระนคร คงจะมีใครรู้เห็นอะไรกันบ้างแหละ” เช้งพูดอย่างมั่นใจ
“เราอุตส่าห์ช่วยเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้าจะหาทางตอบแทนเราอย่างไร” โมกทวงถามบ้าง
“เอ้อ...” ศิลานิ่งอึ้ง ไม่รู้จะเอาไงดี “ไว้ผมจะลองหาทางทูลขออภัยโทษให้พวกพี่สองคนดู”
“ทำได้เช่นนั้นรึ?” เช้งทำท่าไม่เชื่อ
“ผมพอมีวิธีอยู่ หลวงท่านเป็นเจ้าแผ่นดิน ไม่มีวันเสียคำพูดแน่” ศิลาค่อนข้างมั่นใจ
โมกกับเช้งจึงยอมปล่อยศิลากลับไป ซึ่งขณะนั้นเกียรติภูมิกับหมีอ้วนกำลังเที่ยวตามหาเขาอยู่พอดี
“หายไปไหนฟะ?” หมีอ้วนถามอย่างสงสัย
“เออน่า กลับวังก่อน” ศิลาบอก
“กลับทำไม เรายังเดินดูของไม่หมดเลยนะ” หมีอ้วนท้วง เขายังอยากซื้ออะไรอีกหลายๆอย่าง
“เอาไว้วันหลังเถอะ วันนี้กลับก่อน”
เกียรติภูมิกับหมีอ้วนมองหน้ากันเองอย่างสงสัย ท่าทางดูอีกฝ่ายแปลกไปจริงๆ แต่สุดท้ายทั้งสามคนก็กลับเข้าวังหลวง

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป