หน้า 1 2 3 4 5 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๖...

มีอ้วนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยรู้สึกประหลาดไม่สู้ดีบางอย่าง แล้วเขาก็ต้องตกใจยิ่ง เมื่อเห็นมีคนแปลกหน้าสามคนกำลังนั่งผิงกองไฟอยู่ตรงหน้า เขาพยายามจะขยับลุก แต่พบว่าตัวเองถูกมัดไว้แน่นหนา
“นี่มันอะไรกัน?” เขาร้องอุทานอย่างตกใจ คิดว่าคงโดนพวกศัตรูจับตัวไว้ได้อีกแล้ว
ชายกลุ่มนั้นทำหน้าเฉยๆ ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น หมีอ้วนมองหาพรรคพวก พบทุกคนนั่งซึมกันอยู่ แถมถูกมัดเอาไว้เหมือนกันหมด แต่ถ้าดูให้ดีๆ เชือกที่มัดตัวเขาดูจะหนาแน่นกว่าใคร
“พวกนี้เป็นใคร? แล้วทำไมเป็นแบบนี้?” หมีอ้วนไม่เข้าใจเอาเลย
“นายมัวแต่นอนหลับเพลิน เลยไม่รู้ตัวน่ะซี พวกมันฉวยโอกาสตอนที่เราเหนื่อยและหลับไป เข้ามาริบอาวุธข้าวของทุกอย่างไปหมด แถมยังปล่อยม้าของเราหนีไปหมดด้วย” เกียรติภูมิบอกกับเขาให้รู้ตัวเอาไว้
“อะไรนะ? ปล่อยม้าเหรอ? ปล่อยม้าทำไม? ถ้าไม่มีม้า พวกเราจะไปกรุงเทพได้ยังไง” หมีอ้วนตกใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น
ชายคนหนึ่งในสามหันมามองเขา
“ม้าพวกนั้นมันเหนื่อยแทบตายแล้ว ขืนให้พวกเจ้าขี่มันต่อไปแบบนี้ คงโดนพวกเจ้าฆ่าตายกลางทางเสียมากกว่า ไม่มีทางไปถึงกรุงเทพได้ดอก”
หมีอ้วนจ้องเขาอย่างตกใจมาก แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังพูดภาษาไทยเหมือนกัน
“พวกคุณเป็นใครกันแน่? หรือเป็นพวกพม่า?”
“เราดูเหมือนเช่นนั้นรึ?” ชายคนนั้นถาม
หมีอ้วนไม่รู้เหมือนกัน
“พวกคุณต้องการอะไร?” เกียรติภูมิถามชายคนนั้น
“เราได้ยินข่าวมาว่า พวกเจ้าเป็นเทพทั้งเจ็ด เราจึงคิดจะนำตัวพวกเจ้าไปถวายให้พระมหากษัตริย์เพื่อขอรางวัลอย่างไรเล่า พวกเจ้าอยากไปกรุงเทพมิใช่ดอกรึ เราจะพาพวกเจ้าไปเอง”
ทั้งหมดแทบไม่เชื่อหูตัวเอง คนพวกนี้บอกว่าจะพาพวกเขาไปกรุงเทพเพื่อเข้าเฝ้ารัชกาลที่๑
“พวกเราน่ะเป็นเทพทั้งหกครับ แต่หมอนี่มันเป็นยักษ์” ศิลารีบบอกพวกเขา
หมีอ้วนจึงหันไปถลึงตาใส่เขาโดยเร็ว
“ยักษ์?” ชายทั้งสามชะงัก ทำท่าตกใจขึ้นมา
“จริงรึ?” ชายคนนั้นยังไม่ค่อยอยากเชื่อ
“ไม่จริงครับ ผมเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น” หมีอ้วนบอก
“ธรรมดาตรงไหนฟะ?” ศิลาถามกวนๆ อีกตามเคย
“แต่สำเนียงพวกเจ้าดูประหลาดยิ่งนัก ซ้ำการพูดจาก็หาใช่เหมือนชาวบ้านทั่วไป พวกเจ้าเป็นมนุษย์จริงกระนั้นรึ?” ชายทั้งกลุ่มทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อ
“ถ้าเราจะบอกว่า พวกเรามาจากโลกในอนาคตอีกสองร้อยปีข้างหน้า พวกคุณจะเชื่อไหมคะ?” นิลเนตรถาม
“นิล? จะดีเหรอ?” ภาคินีชักตกใจ ที่เอาเรื่องสำคัญไปเล่าให้คนแปลกหน้าพวกนี้ฟัง
“ไม่เป็นไรหรอก ท่าทางคนพวกนี้พอพูดรู้เรื่อง แล้วพวกเขาก็บอกเองว่าจะพาเราไปกรุงเทพไม่ใช่รึไง” นิลเนตรพูดกับเธอด้วยเหตุผล “เรากำลังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่นะ”
“หมายความเช่นไร? โลกในอนาคตอีกสองร้อยปีข้างหน้า?” ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มถามอย่างข้องใจ
“อธิบายไป พวกเขาคงไม่เข้าใจหรอก” เกียรติภูมิบอกกับนิลเนตร ก่อนจะหันไปมองชายคนนั้นตรงๆ “เอาเป็นว่า เราไม่ใช่คนของยุคนี้ก็แล้วกันครับ”
ชายกลุ่มนั้นอึ้งไปเป็นครู่ ต่างมองหน้ากันเองอย่างสับสันอยู่ ไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มสาวทั้งเจ็ดคนนี้เป็นตัวอะไรกันแน่
“ไหนๆพวกเราก็จะเดินทางไปกรุงเทพด้วยกันอยู่แล้ว คุณแก้มัดพวกเราได้ไหม พวกเราเองก็อยากไปกรุงเทพ เพราะงั้นไม่หนีหรอกครับ ม้าก็ไม่มี ถ้าจะไปกรุงเทพ คงจะต้องอาศัยพวกคุณเท่านั้น เพราะพวกผมไม่รู้จักทางเลย” เกียรติภูมิพูดกับพวกเขาด้วยเสียงสุภาพ
หลังจากมองหน้ากันแวบเดียว ก็มีคนลุกขึ้นมาช่วยแก้มัดให้เกียรติภูมิก่อน แล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยไปแก้มัดให้เพื่อนๆ
“ก่อนอื่น...ผมอยากทราบชื่อของพวกคุณจะได้ไหม ผมชื่อเกียรติภูมิครับ นั่นเพื่อนๆของผม หมีอ้วน ศิลา นิลเนตร ปรียานุช ภาคินีและธิติมา” เกียรติภูมิแนะนำให้รู้จักเป็นรายตัว
ชายกลุ่มนั้นมุ่นคิ้วงงๆอยู่
“ข้าชื่อฉาย เจ้าหมอนั่นชื่อฝาง ส่วนคนตัวผอมๆสูงๆนั่นชื่อโมก” ฉายแนะนำตัวเองกับเพื่อนๆให้รู้จัก
“ชื่อของพวกเจ้าฟังแปลกดีนะ” ฝางพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“แปลกยังไง?” หมีอ้วนไม่เข้าใจ
“ถ้าเจ้าเป็นคนไทยอย่างพวกเรา เจ้าก็หาควรได้มีชื่อกันหลายพยางค์เยิ่ยงนี้ คนไทยส่วนใหญ่โดยมากมักจะใช้ชื่อแต่พยางค์เดียวเท่านั้น ที่จะใช้ชื่อเสียงเรียงนามไพเราะเช่นพวกเจ้านี้ ก็เห็นแต่จะเป็นพวกเจ้าขุนมูลนายชั้นพระยาทั้งหลายแล”
“คนไทย? พวกคุณเป็นคนไทยหรือเนี่ย?” หมีอ้วนอุทาน
ทุกคนพากันตื่นเต้นดีใจที่ได้พบคนไทยด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นคนต่างยุคก็เถอะ แต่การได้เจอคนชาติเดียวกันในสถานการณ์เช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นโชคดีโดยแท้
“ก็ไม่เชิงเช่นนั้นดอก แม่ของข้าเป็นไทย แต่พ่อข้าเป็นมอญ ส่วนตัวข้าเกิดในเมืองสยาม ข้าจึงคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนไทย แม้จะไม่ค่อยมีใครคิดว่าข้าเป็นคนไทยก็เถอะ” ฝางพูดยิ้มๆ
“พ่อแม่ของฉันเป็นคนจีนค่ะ แต่พวกเราเกิดในเมืองไทยเหมือนกัน” ธิติมารีบบอกเขาอย่างเข้าใจดี
ฝางจึงมองเธอยิ้มๆ รู้สึกเหมือนกับว่าได้เจอเพื่อนแท้เข้า แล้ว
“แต่พวกคุณปล่อยม้าหนีไปหมดแล้ว แล้วพวกเราจะเดินทางเข้ากรุงเทพได้ยังไง ระยะทางมันไม่ใช่ใกล้ๆไม่ใช่เหรอ?” หมีอ้วนถามอย่างข้องใจ
“นอกจากการเดินทางด้วยม้า ยังมีวิธีการอื่นที่สะดวกสบายพอกัน อาจจะดีกว่าสำหรับพวกเจ้าในยามนี้ก็ได้” ฉายพูด
“วิธีไหน?” เกียรติภูมิถาม
“ไปทางน้ำ” ฉายพูดยิ้มๆ
“หมายถึงนั่งเรือใช่ไหมครับ?” หมีอ้วนถามให้แน่
ฉายพยักหน้า
ทุกคนจึงมองหน้ากันเองอย่างดีใจ เพราะคิดว่านั่งเรือไปก็ดีเหมือนกัน ท่าทางสบายกว่าขี่ม้าจริงๆ
“ถึงกรุงเทพเร็วๆก็ดีหรอก แล้วถ้าได้เฝ้ารัชกาลที่๑เพื่อทูลขอพระแสงดาบได้ เราก็จะได้กลับบ้านเสียที” ภาคินีพูดอย่างตื้นตันใจมาก
“เจ้าหมายถึงผู้ใดรึ? รัชกาลที่๑?” ฉายสะดุดหู
“อ้าว ก็พวกคุณบอกว่าจะพาเราไปเฝ้ารัชกาลที่๑ไง ไม่ใช่หรือคะ?” นิลเนตรถาม
ฉายทำหน้างง
“เจ้าหมายถึงกษัตริย์ไทยรึ แต่เราหาได้เรียกท่านเช่นนั้นกันดอก”
“แล้วเรียกว่าไงครับ?” เกียรติภูมิถาม
ฉายกำลังจะตอบ เมื่อมีใครบางคนเดินมาในความมืด ทำเอาทุกคนสะดุ้งตกใจกันหมด
“ไม่ต้องกลัว พรรคพวกอีกคนของเราเองแหละ” ฉายรีบบอก แล้วจึงถามคนที่มาใหม่ “ว่าอย่างไร? มีข่าวได้เช่นใดรึ?”
ชายคนนั้นเข้ามานั่งผิงกองไฟบ้าง
“แม่ทัพทางโน้นโดนสั่งตัดหัวไปแล้ว บัดนี้ได้แต่งตั้งคนใหม่ขึ้นมาแทนที่” เช้งเล่าให้ฟัง
“ตัดหัว?” หมีอ้วนสะดุ้ง “หมายถึงแมงยี แมงข่องกยอ ใช่ไหม? แสดงว่าพระเจ้าปดุงมาถึงแล้วล่ะซี”
“ยังดีที่พวกเจ้าหนีมาได้ก่อน ช้าแค่วันรุ่งพรุ่งเดียว พวกเจ้าคงหาเงาหัวไม่แล้ว” เช้งบอกพวกเขา
เด็กหนุ่มสาวทั้งเจ็ดหน้าซีดเล็กน้อย นับว่าโชคดีจริงๆด้วย
“ตกลงพวกเจ้าหาใช่เทพทั้งเจ็ดจริงๆกระนั้นหรือ? เช่นนั้นก็น่าเสียดายยิ่งนัก” ฉายส่ายหน้าอย่างนึกเสียดาย
“เสียดายอะไรครับ?” ศิลาถาม
“หากพวกเจ้าเป็นเทพทั้งเจ็ด เราจะได้นำพวกเจ้าไปถวายหลวงท่านเพื่อขอสินรางวัลน่ะซี” โมกพูดยิ้มๆ
คนอื่นๆก็หัวเราะออกมาพลอยเห็นขันไปด้วย
“ ‘หลวงท่าน’?” หมีอ้วนงง
“เขาหมายถึงรัชกาลที่๑ไง” ปรียานุชกระซิบบอก
“อ้าว ไม่ได้เรียกว่า ‘ในหลวง’เหรอ?” เกียรติภูมิสงสัย
“ในหนังบางเรื่องเห็นเรียก ‘พ่ออยู่หัว’นะ” ธิติมาจำมาจากในหนังไทยบางเรื่องที่เคยดู
“พวกเจ้าพูดว่ากระไรรือ ข้าหาเข้าใจไม่” ฉายทำหน้าไม่เข้าใจ ที่พวกเขาพูดกัน “หลวงท่านก็คือหลวงท่าน จะเป็นอื่นมิได้ เราเรียกท่านเช่นนี้มานับแต่ครั้งที่ท่านขึ้นเสวยราชย์แล้ว”
“พวกเราอยากจะขอเข้าเฝ้าหลวงท่านของพวกคุณจะได้ ไหมคะ?” ภาคินีขอร้องพวกเขา
ทั้งสี่คนมองหน้ากันเองอย่างงุนงงอยู่
“พวกเจ้าจะพบหลวงท่านไปเพื่อกิจอันใด?” ฝางถาม
“พวกเราอยากจะกลับบ้าน แต่ถ้าไม่มีพระแสงดาบ เราจะไม่สามารถกลับไปยังบ้านเมืองของเราได้” นิลเนตรบอกเขา
“พระแสงดาบ?” ทั้งสี่คนทำท่าตกใจอยู่
ธิติมารีบพูดขึ้น “พวกเรามาที่ยุคนี้ได้ก็เพราะพระแสงดาบนั่นแหละค่ะ มันส่งเราข้ามกาลเวลามาที่นี่ เพราะงั้นถ้าเราจะกลับ ไปยุคสมัยของพวกเรา เราต้องได้พระแสงดาบของรัชกาลที่๑เท่านั้น นี่เป็นทางเดียวที่เราพอจะทำได้”
ชายทั้งสี่มองหน้ากันเอง เริ่มชักสงสัยว่าคนพวกนี้อาจจะเป็นแค่คนเสียสติเท่านั้น
“พวกเราไม่ได้เสียสตินะครับ” หมีอ้วนรีบบอก รู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ อาวุธเทพของพวกเจ้าถูกทำลายไปแล้ว กษัตริย์พม่าใช้ทหารให้นำปืนใหญ่มายิงทำลายทิ้ง” เช้งบอกพวกเขาให้รู้สำนึกไว้
“หมายถึงโทรศัพท์มือถือนั่นน่ะเหรอคะ?” ปรียานุชแทบไม่เชื่อหู อดนึกเสียดายหน่อยๆไม่ได้
ศิลาหยิบมือถือของตัวเองออกมา
“หมายถึงไอ้นี่ใช่ไหม? ผมก็มี”
ทั้งสี่คนผงะตกใจ เมื่อเห็นว่ายังเหลืออาวุธเทพอยู่อีก
หนุ่มสาวทั้งเจ็ดคนพยายามกลั้นหัวเราะขำเต็มที่ เพราะท่าทางของพวกเขาดูตลกจริงๆ
เกียรติภูมินึกขึ้นได้ เขาหยิบไฟแช็กที่ออกแบบให้ดูเป็นปืนขนาดจิ๋วออกมา เป็นของเล่นที่เขาชอบมากที่สุด แล้วจึงจุดไฟให้ดูต่อหน้าต่อตา
ชายทั้งสี่ถึงกับตะลึงตาค้าง เพราะไม่เคยเห็นสิ่งอัศจรรย์ เช่นนี้มาก่อน
“ถ้าพวกคุณสัญญาว่าจะช่วยให้เราได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ไทย เราก็สัญญาว่าจะมอบอาวุธเทพของเราให้กับพวกคุณหมดเลยก็ได้ ครับ” เกียรติภูมิบอกกับพวกเขา
ทั้งเจ็ดคนลังเล หันหน้าไปปรึกษากันเองอยู่เป็นครู่ ทำท่าซุบซิบเสียงไม่เบานัก
“ดูท่าทางเจ้าพวกนี้จะหาใช่มนุษย์ธรรมดาจริงๆด้วย หรือว่าจะเป็นเทพทั้งเจ็ดดังที่เขาร่ำลือกัน?” โมกถามคนอื่นๆ
“แต่อีกคนเขาว่าเป็นยักษ์นะ” ฝางพูดอย่างนึกกลัวขึ้นมาหน่อยๆแล้ว
“เฮ้ย เป็นยักษ์ก็หาได้แปลว่าต้องกินคนดอก เห็นว่าเป็นพวกถือศีลอด ไม่กินคน มิเช่นนั้นไอ้พวกทหารพม่ามันคงโดนกินเรียบไปแล้ว” เช้งบอกอย่างมั่นใจ
“นั่นซี แล้วยักษ์ทั่วไปจะเดินทางมาพร้อมกับเทพได้อย่างใด ดูทีว่าคงต้องเป็นเทพอีกองค์ แต่เป็นเทพในภาคยักษ์ อย่างพระราหูก็เป็นเทพในภาคยักษ์ด้วยเหมือนกัน” ฉายพูด
ทั้งสี่คนหันมาจ้องหมีอ้วนเป็นตาเดียว
คนอื่นๆทั้งหกเกือบจะกลั้นหัวเราะขำไม่อยู่ หมีอ้วนก็ได้แต่ทำหน้าตูมใหญ่
“พวกเราไม่เอาอาวุธเทพของพวกเจ้าดอก อาวุธเทพก็ควรแก่เทพเป็นผู้ใช้ เราเป็นแค่คนสามัญ ไม่บังควรดอก แต่ถ้าพวกท่านอยากจะเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ไทยในฐานะเทพทั้งเจ็ด เราก็ยินดีจะพาพวกท่านไปถวาย เอ๊ย...ไปเข้าเฝ้า” โมกเป็นคนพูดออกมาด้วยท่าทางดูระวังตัวอยู่
หนุ่มสาวทั้งเจ็ดคนมองหน้ากันเอง คิดว่าแบบนี้ก็อาจจะดีเหมือนกัน ถ้าหากเข้าเฝ้าในฐานะของเทพทั้งเจ็ด คงจะพอพูดกับรัชกาลที่๑ได้รู้เรื่องบ้าง
“ก็ได้ เราจะไปเฝ้าหลวงท่านในฐานะเทพทั้งเจ็ดเองตามแบบที่พวกคุณต้องการ” เกียรติภูมิเป็นคนตอบ
“เช่นนั้นเชิญเทพทั้งเจ็ดพักผ่อนไปเถิด ฟ้าสางเราจะออกเดินทางกัน” ฉายบอกกับพวกเขา
ทั้งเจ็ดคนเห็นด้วย จึงกลับไปที่นอนของตัวเอง
หมีอ้วนเตรียมจะล้มตัวลงนอน แต่เห็นทั้งสี่คนไม่มีใครทำท่าจะไปนอนเสียที
“พวกคุณล่ะครับ?” เขาถามอย่างสงสัย
“เดี๋ยวเราจะผลัดกันเฝ้าเวรยามเอง แถวนี้ยังถือว่าไม่ค่อยปลอดภัย เพราะอยู่ในถิ่นของศัตรู อีกทั้งยังมีสิงสาราสัตว์มากมาย”
หมีอ้วนและคนอื่นๆได้ยินฝางพูดก็นึกขนลุกขึ้นมา เมื่อคิดได้ว่าอาจมีเสืออยู่แถวๆนี้ก็ได้ แบบนี้พวกเขาจะหลับลงได้อย่าง ไรกัน
“นอนไปเถิด ท่านเทพ หากมีอะไรเกิดขึ้น พวกเราจะรีบปลุกพวกท่านเอง” โมกบอกให้หายห่วง
เทพกำมะลอทั้งเจ็ดเข้าใจดี จึงพยายามข่มตาหลับแทบแย่ ซึ่งกว่าจะหลับได้ก็ต้องใช้เวลากันเล็กน้อย

มื่อได้เวลาที่จะต้องออกเดินทางอีกครั้ง เทพกำมะลอทั้งเจ็ดถูกปลุกให้ขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและทานข้าวทานปลาพร้อมกับชายทั้งสี่คน
หมีอ้วนสังเกตเห็นว่า พวกเขาเจ็ดคนที่ได้นอนกันเต็มอิ่มดี กลับมีท่าทางดูเซื่องซึม ไม่ค่อยสดชื่น ตรงข้ามกับชายทั้งสี่คนที่ผลัดกันเฝ้าเวรยามทั้งคืนกลับมีท่าทางกระชุ่มกระชวย เหมือนคนได้นอนกันเต็มอิ่มตลอดคืน
“พวกท่านพร้อมจะเดินทางไปกับเราแล้วใช่หรือไม่?” เช้งถามทั้งเจ็ดคน และสังเกตเห็นท่าทางไม่กระตือรือร้นของทุกคน
“เมื่อไหร่ก็ได้ครับ เราเองก็อยากถึงกรุงเทพเร็วๆ” ศิลารีบบอก
“เช่นนั้นก็ดี เก็บข้าวของ แล้วจงตามเรามา”
ทุกคนช่วยกันเก็บรวบรวมข้าวของกันโดยเร็ว
“เดี๋ยวก่อน ขอฉันแต่งหน้าทาปากอีกหน่อยนะ” ปรียานุชยังไม่วายอยากสวยอยู่อีก
“จะแต่งไปถึงไหนกันยะ เวลาแบบนี้แท้ๆ” นิลเนตรชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาแล้ว
“ก็มันเรื่องของฉันนี่” ปรียานุชตอบห้วนๆ
สุดท้ายทุกคนก็ต้องรอให้เด็กสาวแต่งหน้าทาปากเสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางกันต่อไป
คณะของฉายพาพวกเขาเดินทางบุกป่าฝ่าดงไปตามทาง จนที่สุดก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำจนได้ แต่เหล่าเทพทั้งเจ็ดมีท่าทางดูเหน็ดเหนื่อยกันบอกไม่ถูก
“พวกท่านไม่สบายกันเช่นนั้นหรือ?” ฉายออกปากถามอย่างอดไม่ได้
“ก็...เปล่าครับ เพียงแต่พวกเราไม่เคยต้องเดินทางลำบากลำบนแบบนี้มาก่อน” เกียรติภูมิต้องยอมรับความจริง
“นั่นซีนะ ก็พวกเจ้าเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ คงจะเสวยสุขจนเคย พอมาลำบากเข้า ก็เลยสู้ไม่ไหว” เช้งพูดขำๆ คนอื่นๆก็พลอยหัวเราะไปด้วย
เด็กหนุ่มสาวทั้งเจ็ดได้แต่หุบปากเงียบไปหมด เพราะพูดไปมันก็จริง
“แต่แม่หนูคนนี้ท่าทางไม่ค่อยเหนื่อยนะ” โมกสังเกตว่านิลเนตรยังมีท่าทางเฉยๆอยู่
“ก็ฉันเป็นนักบาสนี่คะ” นิลเนตรตอบ
“หา? เป็นอะไรนะ?” โมกงงเต๊ก
นิลเนตรยิ้มขำ
“เป็นกีฬาชนิดหนึ่งบนสวรรค์ค่ะ”
“อ๋อ” โมกทำท่าเข้าใจ “แล้วมันเป็นอย่างใด ไว้สอนข้าบ้างได้หรือไม่ ข้าอยากรู้เรื่องราวบนสวรรค์บ้าง”
นิลเนตรยิ้ม เมื่อสังเกตว่าทุกคนเองก็ดูอยากจะรู้เรื่องราวบนโลกของพวกเธอกันมาก
“เราลงเรือกันก่อนดีไหมคะ แล้วฉันจะค่อยๆเล่าให้ฟังไปด้วยระหว่างนั้นเอง” เด็กสาวเสนอแนะ
ทุกคนเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ จึงพากันไปลงเรือที่ซ่อนอยู่แถวๆนั้น ซึ่งเรือเป็นเรือพายขนาดเล็ก แต่มีสองลำ จึงได้แยกนั่งกันเป็นฝ่ายชายกับหญิง โดยพวกผู้ชายมีฉายกับเช้งเป็นฝีพาย ส่วนโมกกับฝางก็ช่วยพวกผู้หญิงพาลงเรือไปลำเดียวกัน
ระหว่างล่องเรือไปตามแม่น้ำสายนั้น พวกเขาทั้งเจ็ดช่วยกันเล่าเรื่องราวของตัวเองให้กับคณะของฉายฟังเท่าที่พอจะเล่าให้ฟังได้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ฟังดูแปลกประหลาดและเหลือเชื่อสำหรับพวกคนยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก
“ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นคนของโลกอนาคตอีกสองร้อยปีข้างหน้าจริงๆ รึ?” โมกถามอย่างประหลาดใจเอามากๆ
“ใช่ค่ะ คงเพราะพวกเราได้ทำผิดไว้ร้ายแรง ที่ไปใส่ร้าย รัชกาลที่๑ว่าเป็นกบฎต่อพระเจ้าตากสิน ก็เลยถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ให้ต้องมาหลงติดอยู่ในยุคนี้ แล้วกลับไปไม่ได้” ธิติมาเล่าแล้วอยากจะร้องไห้ออกมา
ฝางมองเธอเหมือนกับเห็นใจเป็นอย่างมาก
“หลวงท่านจะเป็นกบฏได้อย่างไร หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ข้านี่แหละจะเป็นคนตัดหัวไอ้ชาติชั่วนั่นเสียเอง” โมกพูดอย่างคนไม่กลัวตายและกล้าหาญเยี่ยงชายชาตินักรบ
กรุงศรีอยุธยาไม่มีวันสิ้นคนดีดอก ยังไงเสียก็คงจะไม่มีใครกล้าคิดหักหลังนายของตัวเอง ที่สำคัญใครที่ไหนเขาจะยอมรับคนชั่วร้ายพรรค์นั้นขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์ของเรากัน ผู้ใดจะยอมเป็นสุนัขรับใช้ของคนไร้มนุษยธรรมเช่นนั้นเล่า มันก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นแล” ฝางยืนกรานให้พวกเธอรู้ไว้เสีย
“พวกเรารู้แล้วค่ะ ไม่งั้นเราจะถูกสวรรค์ลงโทษกันแบบนี้หรือคะ?” ภาคินีพูด
“ตอนเกิดเรื่อง พวกข้าก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น เลยไม่ค่อยรู้เรื่องจริงเสียเท่าใด แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง พวกข้าก็ต้องได้ยินข่าวบ้างซี เรื่องออกใหญ่เยี่ยงนี้” โมกพูดอย่างมั่นใจยิ่งนัก
“หลวงท่านเป็นคนดี มีน้ำพระทัยงดงาม เป็นที่รักใคร่ของปวงประชา แล้วคนเช่นนั้นรึจะเป็นกบฏ เป็นไปไม่ได้” ฝางเองก็พูดอย่างมั่นใจมากเช่นเดียวกับโมก
“คนไร้ศีลธรรมจรรยา ไม่มีวันปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขได้เช่นนี้ดอก” ฉายพูดมาจากเรืออีกลำให้ได้ยินกันทั่ว
นิลเนตรพลอยยิ้ม รู้สึกถึงความภักดีของบุคคลเหล่านี้ที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ ตอนนี้เธอชักอยากได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่๑เสียแล้ว เป็นเรื่องที่เหมือนกับฝันไปจริงๆ ที่พวกเธอทั้งหมดกำลังจะได้พบกับบุคคลที่มีราชทินนามต่อท้ายเป็นถึงมหาราช บุคคลที่อยู่ในโลกอดีตอันแสนไกลเกินเอื้อม ยิ่งใหญ่เสียจนยากที่จะหาใครมาเทียบเทียมได้แม้แต่ในยุคสมัยของเธอเอง
พวกเธอช่วยกันเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้ให้กับพวกของโมกได้รับทราบอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ โดยไม่คิดเลยว่ามันอาจจะส่งผลถึงขั้นทำให้ประวัติศาสตร์เกิดการพลิกผันอย่างร้ายแรง

ารเดินทางเข้าสู่กรุงเทพต้องใช้เวลาหลายวัน กลางวันพายเรือ กลางคืนก็หยุดพักเข้าหาที่นอนบนฝั่ง สำหรับพวกของฉายดูจะเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว แต่พวกหนุ่มสาวที่มาจากยุคอนาคตอีกสองร้อยปีข้างหน้านั้น เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสพอดู เพราะต้องมานอนกลางดินกินกลางป่า อาหารก็ต้องหาเอาเอง ถึงจะมีพวกของฉายคอยช่วยเหลือ แต่จะให้ตั้งหน้าตั้งตารอรับส่วนบุญก็ออกจะน่าอายอยู่
ดังนั้นกว่าจะถึงกรุงเทพได้ พวกผู้หญิงก็เริ่มมีคนไม่สบายขึ้นมา ภาคินีมีอาการตัวร้อนจี๋ และหน้ามืดเป็นลม พวกฝางจึงต้องรีบพาไปหาหมอโดยเร็ว
“นิล อย่าทิ้งฉันไปนะ” ภาคินีร้องไห้พูดออกมา
นิลเนตรจับมือเธอไว้แน่น เพื่อปลอบใจคนไข้
“เป็นเช่นใด พ่อหมอ?” ฉายถาม
“ไข้ป่า” หมอตอบ
“ไข้ป่า!” ทุกคนอุทาน นึกกลัวขึ้นมา เพราะโรคนี้ถึงตายได้ง่ายๆเหมือนกัน
“ฉันจะตายหรือเปล่า?” ภาคินีกลัวจนน้ำตาไหล เธอคิดถึงบ้าน อยากกลับเต็มทีแล้ว แต่อาจต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ก็ได้
“พี่ฉาย แถวๆนี้มีหมอฝรั่งเก่งๆบ้างหรือเปล่า?” เกียรติภูมิเข้าไปถามเขา เพราะไม่ไว้ใจหมอพื้นบ้านเอาเลย
ฉายจึงพาทุกคนไปหาหมอฝรั่ง ซึ่งเป็นบาทหลวงที่ดูจะมีท่าทางน่าเชื่อถืออยู่ เขาให้คนไข้นอนบนเตียง และให้ภรรยาของตนช่วยเช็ดเนื้อตัวให้เรียบร้อย
“ไม่ต้องห่วงไปดอก พ่อจะพยายามช่วยเต็มที่เอง” บาทหลวงแอนโทเน่กล่าวเป็นภาษาไทยแปร่งๆให้ทุกคนวางใจ
ภาคินีเองก็มีท่าทางดูจะสบายใจขึ้นมาก ความเชื่อถือและศรัทธาต่อผู้เป็นหมอเองก็มีส่วนทำให้คนไข้หายเร็วได้เช่นกัน
พวกฉายขอตัวก่อน บอกว่าจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองถึงเรื่องราวของพวกเขา ถ้าโชคดี พวกเขาก็คงจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่๑ในเร็ววัน

าทหลวงทราบว่าทั้งเจ็ดคนเดินทางมาไกล และยังไม่มีที่พักอาศัย จึงได้ชักชวนให้พวกเขาอยู่ค้างคืนได้ จนกว่าพวกเขาจะมีที่ไป หนุ่มสาวทั้งเจ็ดจึงได้แต่กล่าวขอบคุณและยอมรับไมตรีนั้นเป็นอันดี
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่รอฟังข่าวจากฉายอยู่ที่โบสถ์หลังนี้กันไปก่อน ถ้าหากมีเงินติดตัวบ้าง และไม่มีคนป่วยหนัก พวกเขาคงจะถือโอกาสเที่ยวเล่นชมเมืองกันสนุกไปแล้ว
“พวกเราต้องรออีกนานเท่าไหร่?” ปรียานุชถาม เพราะร้อนใจ อยากจะได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่๑เต็มทน
“ใจเย็นๆเถอะ ถ้าได้เรื่องแล้ว พี่ฉายคงรีบมาส่งข่าวให้รู้เองแหละ” เกียรติภูมิพูด เขาเองก็พยายามสงบใจรอเหมือนกัน
“คนพวกนี้จะเชื่อใจได้หรือเปล่า?” ศิลายังสงสัย
ทุกคนจึงจ้องมองเขาเป็นตาเดียว
“อะไร? ฉันพูดผิดตรงไหน?” ศิลาย้อนถาม
“ก็เพราะนายเป็นคนแบบนี้เองแหละ ถึงได้ไม่มีใครอยากจะคบด้วย ขนาดเรื่องของรัชกาลที่๑ก็ยังเอาไปพูดจนเสียหาย พวกเราถึงได้ต้องมาติดแหงกกันอยู่แบบนี้” ธิติมาพูดอย่างโมโหเต็มที่
ศิลาเม้นปาก เขาไม่ชอบให้ใครเอาแต่พูดย้ำถึงเรื่องนั้น
“รู้สึกว่าพวกนายตั้งหน้าแต่จะโยนให้เป็นความผิดของฉันให้ได้” เขาพูดอย่างไม่พอใจ
"หรือนายจะพูดว่าตัวเองไม่ผิด" หมีอ้วนถามเสียงเย็น
"ถ้าฉันผิด พวกนายก็ผิดเหมือนกันแหละ ไม่งั้นจะถูกส่งมาที่โลกนี้พร้อมกันเหรอ?"
"ว่าไงนะ?"
นิลเนตรทิ้งผ้าเช็ดตัวลงในอ่างน้ำ
“ถ้าพวกนายว่างล่ะก็ จะไปเดินเล่นก็ได้นะ” เธอพูดเสียงเย็น
“ทำไม?” ศิลาถาม
“ไม่เห็นเหรอว่า ภาคินีกำลังไม่สบาย ต้องการนอนพักอยู่เงียบๆ พวกนายดันมาพูดคุยส่งเสียงดังกันอยู่ได้”
“ฉันไม่ได้เป็นคนหาเรื่องก่อนนะ” ศิลาเถียง
“ออกไปได้มั้ย?” นิลเนตรชักจะโมโห เธอทั้งเหนื่อยและหงุดหงิดจนบอกไม่ถูก
“ไปก็ได้” ศิลาออกไปก่อนเพื่อน
คนอื่นๆเห็น ก็ค่อยๆทยอยกันออกไป เหลือนิลเนตรที่อยู่เฝ้าไข้ภาคินีอย่างเป็นห่วง

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป