หน้า 1 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๒…

ช้าวันต่อมา เป็นวิชาประวัติศาสตร์ ดังนั้นอาจารย์พิชัยจึงมาสอนให้ตามหน้าที่ เขาเดินเข้ามาในห้อง วางสมุดที่เตรียมมาด้วยลงบนโต๊ะ เงยหน้ามองทุกคนในชั้นเรียน
“เอาล่ะ วันนี้เราก็มาเรียนประวัติศาสตร์กันต่อนะ อ้าว นิลเนตร วันนี้มาเข้าเรียนได้นะ” อาจารย์เหลือบตาไปเห็นเธอนั่งอยู่ ก็ทำท่าคาดไม่ถึง
นิลเนตรโดนเป็นเป้าสายตาจนได้ “ค่ะ พอดีเช้านี้ว่าง”
อาจารย์พิชัยยิ้ม “ถ้าว่างแบบนี้ได้ตลอดก็ดีนะ ฉันรู้ว่ากิจกรรมก็สำคัญ แต่เธอไม่ควรทิ้งการเรียนนะ เข้าใจไหม”
“ค่ะ อาจารย์” นิลเนตรตอบเบาๆ
อาจารย์พิชัยหันไปมองคนอื่นบ้าง “ถ้างั้นเรามาเริ่มดีกว่า เปิดหนังสือกันที่หน้า...”
อาจารย์ยังพูดไม่จบประโยคดี เกียรติภูมิก็รีบยกมือขึ้นโดยเร็ว แล้วลุกขึ้นยืน “จารย์ ผมมีข้อข้องใจอยู่อย่าง”
อาจารย์พิชัยดูประหลาดใจมาก “อะไรเหรอ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาเรียนหรือเปล่า”
เกียรติภูมิยักไหล่ “ก็ทำนองนั้นฮะ”
อาจารย์พิชัยจึงยิ้ม สงสัยว่านักเรียนของเขาเริ่มมีความสนใจวิชานี้ขึ้นมาบ้างแล้ว “งั้นถามมาซี อาจารย์ตอบได้ก็จะตอบให้ เห็นเธอเริ่มมีความสนใจแบบนี้ อาจารย์ดีใจมากจริงๆ”
“งั้นผมขอถามเลยนะฮะ” เกียรติภูมิถามย้ำ
อาจารย์พิชัยพยักหน้า “ก็เอาซี”
เกียรติภูมิจึงพูดอย่างเป็นงานเป็นการเสียจนน่าแปลก
“คืองี้ เห็นอาจารย์พูดไว้ตั้งแต่ชั่วโมงก่อนว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีเกิดมีอาการเสียพระสติ จึงเป็นเหตุให้บ้านเมืองต้องประสบกับภัยพิบัติใช่ไหมฮะ”
อาจารย์พิชัยครุ่นคิด “อืม แล้วเธอเห็นว่าไง”
“ผมเห็นว่าจริงๆท่านไม่ได้เสียสติอะไรหรอก แต่แท้จริงพระยาจักรีเป็นกบฏต่างหาก แล้วจงใจบิดเบือนพงศาวดาร กลัวคนรุ่นหลังด่าประนามที่ท่านทรยศหักหลังคนอื่น”
อาจารย์พิชัยแทบไม่เชื่อหู “เหลวไหล เอาอะไรมาพูดน่ะ รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไร”
เกียรติภูมิยังไม่ยอมแพ้ “ผมแค่พูดไปตามที่คนอื่นๆเขาพูดกันเท่านั้น”
“คนอื่นที่ไหน ทำไมอาจารย์ถึงไม่เคยได้ยิน”
“คนในเว็บไซค์ครับ ผมเปิดเข้าไปเจอในกระทู้นี้เข้าพอดี เขาว่าพระยาจักรีฉวยโอกาสยกทัพเข้าเมือง ขณะที่พระเจ้าตากสินไม่เหลือกำลัง เพราะได้มอบกองทัพให้เจ้าฟ้าจุ้ยไปจนหมด ส่วนเจ้าฟ้าจุ้ยก็ไปรบแพ้เขา เพราะพระยาจักรีไม่ยอมไปตามนัดพบ แต่กลับยกทัพเข้าเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์ไว้เสียเอง” เกียรติภูมิอธิบายให้ฟัง
อาจารย์พิชัยถอนใจ “คงจะมีคนพยายามจะปั้นเรื่องเพื่อจะให้ร้ายต่อราชวงศ์จักรีมากกว่า เพราะไม่มีหลักฐานเลยสักนิดว่าท่านเป็นกบฏ จะให้ถือเป็นสาระได้ยังไงกัน เรื่องแบบนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลที่รัชกาลที่๑จะก่อกบฏ”
เกียรติภูมิจ้องหน้าอาจารย์หนุ่มอย่างท้าทาย “อาจารย์แน่ใจได้ยังไง ทางโน้นเขาพูดอย่างมั่นใจมากเลยนะครับ”
อาจารย์พิชัยรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่เหลือรับจริงๆ “ไอ้อาการมั่นใจน่ะ บางครั้งก็เป็นแค่ความดื้อรั้นหัวชนฝาเท่านั้นเอง”
“เหรอครับ แล้วอาจารย์ล่ะครับ มั่นใจหรือว่าแค่ดื้อรั้นหัวชนฝา” เกียรติภูมิเถียงข้างๆคูๆเสียเลย
“อาจารย์มองแค่ที่หลักฐาน” อาจารย์พิชัยตอบเฉยๆ เป็นครั้งแรกที่เขาโดนนักเรียนยั่วโมโหขนาดนี้ “ที่สำคัญอาจารย์ก็ไม่เห็นว่าจะมีหลักฐานตรงไหนที่จะบ่งชี้ว่าพระยาจักรีเป็นกบฏจริงๆ จะหาตัวคนร้ายมันต้องดูที่หลักฐานพยาน ไม่ใช่คิดเอาเองแล้วก็จะเป็นแบบนั้นจริงๆ”
“แต่เขาพูดอย่างมั่นใจมากเลยนะครับ ขนาดผมเขียนแก้ไปตามที่เรียนมา ยังโดนคนอื่นด่ากลับมาเลย เขาหาว่าผมเอาแต่ยึดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น”
“การจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราต้องพิจารณากันด้วยเหตุผลของตัวเราเองนะ ไม่สามารถจะมาบังคับกันได้ ถ้าเธออยากจะเชื่อแบบนั้น ก็ไม่มีใครห้ามเธอได้ แต่อาจารย์ก็อยากให้เธอลองใช้เหตุผลที่แท้จริงโดยพิจารณาถึงหลักฐานเสียก่อน พระพุทธเจ้าเองก็สอนว่า อย่าเชื่อด้วยเหตุผลสิบประการ แค่มีคนบอกมาอย่างนั้น ก็จะให้เชื่อเลยทันที โดยไม่พิจารณาว่ามีหลักฐานอะไรเลยรึไง ถ้างั้นก็ต้องว่าคนนั้นโง่เต็มทนแล้ว คนที่ว่าเธอนับว่าเป็นคนที่ไร้สติ ไม่มีสมอง และขาดวิจารณญาณในการวิเคราะห์หาความจริง แค่มีคนบอกมาแบบนั้น ก็ปักใจเชื่อเต็มร้อย พอเห็นเธอไม่เชื่อเหมือนเขา ก็พาลเปะปะหาเรื่องด่าว่า เพราะเขาอยากจะให้เธอเชื่ออย่างที่เขาเชื่อก็เท่านั้นแหละ มันก็แค่ใช้กำลังข่มขู่บังคับให้คนอื่นเชื่อตาม เป็นวิสัยคนพาลดีๆนี่เอง”
“แต่สรุปแล้ว พระยาจักรีไม่ได้เป็นกบฏจริงๆหรือครับ แต่ผมไม่อยากเชื่อว่าพระเจ้าตากสินจะเสียสติจริงๆ มันน่าจะมีอะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอ” เกียรติภูมิยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องนี้เช่นกัน
อาจารย์พิชัยทำหน้าขรึม “เคยมีคนบอกว่า อาการของพระเจ้าตากสินเป็นอาการParanoid อาการของคนที่หวาดระแวงว่าจะมีคนมาทำร้ายเท่านั้น”
“อ๋อ ถ้าเรื่องนี้ก็มีคนพูดถึงเหมือนกัน แต่จะใช่แน่หรือครับ งั้นการที่ท่านทำร้ายพระสงฆ์ก็เพราะอาการนี้ด้วยหรือไง แล้วที่ท่านหลงคิดว่าตัวเองเป็นพระโสดาบันล่ะ อาจารย์จะอธิบายว่ายังไง นั่นน่ะดูยังไงก็ไม่ใช่อาการแบบที่ว่าเลยนี่ครับ หรือจะอ้างว่านอกจากอาการที่ว่านี้แล้ว ท่านยังมีอาการป่วยทางจิตอย่างอื่นแทรกซ้อนอีกหลายอย่าง ถึงกับจับคนขึ้นย่างไฟ แบบนี้ไม่เรียกว่าบ้าก็เต็มทีแล้ว ต้องไม่ใช่แค่Paranoidธรรมดาแหงๆเลย”
อาจารย์พิชัยนิ่วหน้า ไม่รู้จะตอบยังไง เป็นครั้งแรกที่โดนนักเรียนต้อนจนจนมุมแบบนี้ “เรื่องนั้น...อาจารย์....”
เกียรติภูมิรู้ทันก็นึกขำ “ว่าไงครับ ตอบไม่ได้ใช่ไหม โธ่ แล้วแบบนี้ยังเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ได้อีกเหรอ”
โดนว่าขนาดนี้ อาจารย์พิชัยก็รู้สึกฮึดขึ้นมาทันที
“งั้นขอถามหน่อย ถ้าสมมุติว่าเธอเป็นรัชกาลที่๑ เมื่อเธอทำการก่อกบฎได้สำเร็จแล้ว เธอต้องการจะแก้พงศาวดารยังไง ถึงจะไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยทำการก่อกบฎต่อพระเจ้าตากสินจริงๆ”
เจอย้อนแบบนี้ เกียรติภูมิก็งงไปครู่
“หรือว่าเธอจะเขียนประนามว่าร้ายว่าพระเจ้าตากสินเสียสติ?”
“เอ้อ...ผม...”
“ถ้าอย่างงั้น อาจารย์ว่า คนที่สติไม่ดีคงจะเป็นเธอมากกว่า ต่อให้ท่านโง่ยังไง ท่านคงจะไม่เขียนแก้พงศาวดารที่ฟังพิลึกๆแบบนั้นแน่ ถ้าอาจารย์เป็นรัชกาลที่๑ อาจารย์จะไม่มีวันเขียนแบบนั้นเด็ดขาด อาจารย์จะเขียนว่าพระเจ้าตากสินประชวรหนัก เพราะตากตรำกำงาน ก่อนจะสิ้นพระชนม์ทรงยังมีความห่วงใยในบ้านเมือง จึงฝากฝังให้รัชกาลที่๑เป็นคนรับหน้าที่ดูแลแทนต่อไป เหล่าข้าราชการผู้ใหญ่ได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่านั่นเป็นการมอบราชบัลลังก์ให้ จึงพากันน้อมใจเชิญท่านเข้าสู่พิธีราชสมภพเป็นกษัตราธิราช ถ้าเขียนแบบนี้ก็จะไม่มีใครติดใจสงสัยอีกต่อไป ทำไมต้องถึงกับอุตส่าห์แต่งเรื่องที่มันฟังเหลวไหลเลอะเทอะแบบนั้นด้วย คนอื่นๆเองก็ไม่มีใครคิดจะห้ามกันบ้าง ปล่อยให้มีการแก้พงศาวดารไร้สาระแบบนั้นออกมาได้ ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดูโง่เขลาปัญญาเบาไปหน่อยรึไง”
เกียรติภูมิอึ้งไปเลย เขาไม่ทันคิดถึงปัญหาตรงนี้มาก่อน
“อีกอย่างการยกทัพเข้าเมืองเอิกเกริกแบบนี้น่ะ เธอคิดว่าคนอื่นทั้งเมืองจะไม่รู้เลยรึไง ทำไมถึงไม่มีใครคิดว่าอะไรบ้าง การก่อกบฎต่อพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นผู้กอบกู้ประเทศชาติได้ ถือเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายเลวทรามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คนแบบนั้นน่ะเหรอ คิดว่าจะมีใครยอมรับนับถือขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์ได้จริงๆ น่าจะมีคนคิดต่อต้านกันบ้างสิ แต่นี่ก็ไม่มีเลยสักคน กลับพากันยอมรับอย่างสงบ แถมยังยกย่องเชิดชูสรรเสริญให้เป็นวีรชนผู้กล้า ทั้งๆที่ควรจะช่วยกันสาปแช่งคนแบบนี้จนชั่วลูกชั่วหลานมากกว่า หรือว่าในแผ่นดินจะไม่มีใครคิดจงรักภักดีต่อพระเจ้าตากสินเลยแม้คนเดียวจริงๆ ไหนว่ากรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดีไง แต่มาตอนนี้กลับไม่มีใครคิดจะช่วยแก้แค้นให้ คนทั้งเมืองต่างก็พร้อมสมยอมเป็นใจให้ความร่วมมือกันเต็มที่ พยายามช่วยกันปกปิดความจริง จนเป็นผลทำให้หน้าประวัติศาสตร์ต้องถูกบิดเบือน การก่อกบฎในลักษณะเช่นนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไง จะยุคสมัยไหนก็ดี ถึงจะมีการก่อรัฐประหารยังไง แต่ก็ยังไม่เคยพบว่ามีเหตุการณ์แปลกประหลาดถึงขนาดนี้มาก่อนเลย ที่ประชาชนต่างก็เห็นดีเห็นงามและให้ความร่วมมือกับการก่อกบฎที่ชั่วร้ายนี้ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องผิดถูกชั่วดี นี่ไม่ใช่เรื่องอภินิหารนะ เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แบบนั้น กลับทำให้มันเป็นไปได้ แบบนี้ไม่ใช่ฝีมือคนแล้วล่ะ”
นิ่งเงียบกันไปหมดทั้งห้อง
“เอาล่ะ ถ้าหายข้องใจแล้ว ก็นั่งลงเปิดหนังสือกันเถอะ” อาจารย์พิชัยบอก หลังจากระงับสติได้แล้ว ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมากางบนโต๊ะ
เกียรติภูมิจึงนั่งลง หน้าจ๋อยไปถนัด
“เป็นไง? หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยนะเพื่อน” หมีอ้วนพูดปนหัวเราะขำออกมา เพื่อนๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเข้าก็พลอยกลั้นหัวเราะเห็นขันไปด้วย
“ยุ่งน่า” เกียรติภูมิพูดห้วนๆ
“สมน้ำหน้า ก็อยากไปยั่วโมโหอาจารย์เองนี่หว่า แต่จะว่า ไป...นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นอาจารย์โกรธขนาดนี้นะเนี่ย”
งานนี้เกียรติภูมิหน้าแตกยับเยินแทบไม่เหลือชิ้นดี ทุกคนเห็นเขาเป็นตัวตลกไปหมด ซึ่งนั่นก็เพราะอาจารย์พิชัยแหละ
เสียงออดหมดชั่วโมง อาจารย์พิชัยทำท่าเก็บหนังสือ วันนี้ดูจะเป็นการเรียนการสอนที่แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ เพราะใจเขาสับสนอย่างบอกไม่ถูก “เอาล่ะ หมดชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวชั่วโมงต่อไปเป็นวิชาภาษาอังกฤษ ขอให้พวกเธอตั้งใจฟังดีๆ อย่าให้อาจารย์จินตนาต้องมาบ่นกับอาจารย์ทีหลังอีกล่ะ”
พอพูดเช่นนั้น นักเรียนทั้งชั้นเรียนพากันโห่ปากเสียงดังลั่นไปหมด
“เอ้า เงียบหน่อย” อาจารย์พิชัยเอ็ด “ อีกเรื่อง...นิลเนตร เที่ยงนี้ ทานข้าวเสร็จ อย่าลืมไปพบกับอาจารย์ที่ห้องพักอาจารย์ล่ะ อาจารย์มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” อาจารย์พิชัยหันไปบอก
นิลเนตรอึกอัก ไม่คิดว่าจะโดนเรียก “ค่ะ อาจารย์”
จากนั้นอาจารย์หนุ่มก็เดินออกจากห้องไป
“อาจารย์พิชัยท่าจะอารมณ์เสียนะ งานนี้เธอโดนดีแน่ล่ะ นิลเนตร” มีเพื่อนคนหนึ่งพูดกับเธอ
“ไม่หรอก อาจารย์คงไม่พาลลงกับคนอื่นหรอก อาจารย์พิชัยไม่ใช่คนแบบนั้น จริงไหม นิลเนตร?” ภาคินีหันมาพูดกับเธอ
นิลเนตรจึงยิ้มนิดๆ นัยน์ตาฉายประกายบางอย่าง
“อะไร รีบเข้าข้างเชียวนะ หรือว่าเธอเป็นพวกของอาจารย์กันแน่?” ศิลาได้ยินก็อดค่อนไม่ได้
ภาคินีหน้าแดงเล็กน้อย “เปล่านะ ฉันก็แค่คิดว่า...”
“นายอย่ามาหาเรื่องคนอื่นดีกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย” นิลเนตรพูดใส่หน้าศิลาอย่างหัวเสียขึ้นมาที่กล้าก้าวร้าวใส่ภาคินีจนเธอหน้าเสีย
“พูดแค่นี้ก็ต้องโกรธด้วย ขี้โมโหจริงนะ” ศิลาว่า
นิลเนตรได้แต่จ้องเขาอย่างมีโมโหจริงๆ
“ถ้าอาจารย์เต่าล้านปีกล้าพาลลงกับนิลเนตรจริง ก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว” เกียรติภูมิพูดห้วนๆ ถึงจะไม่ชอบใจก็เถอะ แต่เขาก็เชื่อว่าอาจารย์คงไม่ใช่คนแบบนั้น
“อะไรของนายฟะ เมื่อกี้นายเพิ่งมีเรื่องกับอาจารย์เองอยู่หยกๆ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจจะอยู่ข้างนายแท้ๆ”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้องก็ได้” เกียรติภูมิตอบ ไม่สนใจ
ศิลายิ่งฮึดฮัดขึ้นมา
“เรื่องที่ว่ารัชกาลที่๑ไม่ได้ก่อกบฎน่ะ จริงๆฉันว่ามันยังไม่แน่เสมอไปหรอก”
“นายจะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาให้ได้อะไรอีก?” เกียรติภูมิไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว
“ฉันพูดจริงๆนะเว้ย เหตุผลที่อาจารย์ยกขึ้นมาอ้าง ฟังๆก็ดูสมเหตุผล แต่พวกนายเชื่อจริงๆหรือว่าพระเจ้าตากสินเสียสติ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเสียสติ แล้วนายคิดว่าไง?” หมีอ้วนย้อนถามบ้าง
“มันก็น่าจะมีสาเหตุอะไรสักอย่างไม่ใช่รึไง แล้วเรื่องนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับรัชกาลที่๑แน่ๆ”
นิลเนตรฟังแล้วไม่ค่อยพอใจขึ้นมา
“พูดไปพูดมา ก็คือจะหาว่ารัชกาลที่๑มีใจเป็นกบฎให้ได้นั่นแหละ นายมีหลักฐานหรือเปล่าล่ะ เอามาซี หลักฐานน่ะ”
คนอื่นๆก็หันมาจ้องมองศิลาเป็นตาเดียว
“พวกนายลืมไปแล้วรึไง ตอนศึกอะแซหวุ่นกี้น่ะ รัชกาลที่๑นัดดูตัวกับอะแซหวุ่นกี้ แล้วอะแซหวุ่นกี้ก็กล่าวชมเชยว่าต่อไปจะได้เป็นกษัตริย์โดยแท้” ศิลาอ้างถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“จะบ้ารึไง นั่นน่ะเหรอหลักฐานของนาย” หมีอ้วนฟังแล้วเซ็ง “อะแซหวุ่นกี้นัดดูตัวพระยาจักรี เรื่องนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นการก่อกบฎตรงไหนนี่นา เขาไม่มีข้อห้ามออกไปพบปะพูดคุยกับศัตรูระหว่างทำศึกนี่หว่า ของแบบนี้มันเลี่ยงกันได้ที่ไหนเล่า ถ้าไม่งั้นพระเจ้าตากสินคงได้ถือโทษเอาผิดไปแล้วล่ะ อีกอย่างถ้ารัชกาลที่๑ คิดเป็นกบฎจริง ก็ไม่ควรทำอย่างเปิดเผยแบบนี้ น่าจะแอบนัดพบกันลับๆไม่ให้คนอื่นรู้มากกว่า นี่แสดงว่าท่านบริสุทธิ์ใจจริงๆ ถึงได้กล้าเสี่ยงทำอย่างเปิดเผยไม่กลัวคำครหา ถ้าตอนนั้นท่านปฏิเสธไม่ออกไปตามนัดพบ ก็คงถูกตราหน้าหาว่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวอยู่ดี ไม่ว่าไงท่านก็หนีไม่พ้นหรอก”
“แต่มีคนเห็นว่าที่พระเจ้าตากสินเลื่อนยศและตั้งนามให้พระยาจักรีเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกน่ะ นั่นอาจจะเป็นกุศโลบายเพื่อแก้ลำนะเฟ้ย”
“ถ้างั้นก็หมายความว่า ฝ่ายที่จงใจหาเรื่องระแวงก่อนก็คือฝ่ายพระเจ้าตากสินเองแล้วล่ะ ถึงได้คิดวางกุศโลบายแบบนี้ มันก็แค่พิสูจน์แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ไว้ใจพระยาจักรี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพระยาจักรีจะต้องคิดเป็นกบฎจริงๆนี่ แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่ารัชกาลที่๑เป็นกบฎ ไม่รู้สึกว่ามันฟังขัดกันรึไง”
“งั้นจะบอกว่าพระเจ้าตากสินเสียสติจริงๆหรือ?”
“จะไปรู้ได้ไง” หมีอ้วนพูดห้วนๆ ชักไม่พอใจขึ้นมา
“เรื่องที่รัชกาลที่๑เป็นกบฎต่อพระเจ้าตากสินนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอก” ภาคินีพูด
“ทำไม?” ศิลาข้องใจ
“ก็นอกจากราชพงศาวดารจะเขียนไว้เช่นนั้นแล้ว ยังพบว่ามีหลักฐานอื่นๆที่ช่วยสนับสนุน อย่างจดหมายเหตุที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่พระยาสรรค์ขึ้นนั่งกรุงธนบุรีนั้น เจ้ารจนาเองก็ได้ รวบรวมกำลังพวกลาวบ่าวไพร่ออกช่วยกรมพระราชวังหลังรบพุ่งกับเจ้ารามลักษณ์ ตอนนั้นกรมพระราชวังบวรกับรัชกาลที่ ๑เสด็จไปรบอยู่ทางเขมรนะ” ภาคินีเล่าให้ฟังตามที่ทราบมา
“ถ้าเป็นงั้นทำไมถึงได้ยังมีข่าวแบบนี้ออกมาได้อีกล่ะ?” หมีอ้วนสงสัย
“ไม่เห็นต้องถาม ก็คงจะเป็นฝีมือใครที่นิสัยแย่ๆ ชอบใส่ร้ายคนอื่นแหละ” นิลเนตรพูดอย่างมั่นใจ แล้วจึงหันมาจ้องหน้าเกียรติภูมิ
“ฉันไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเองนะ” เกียรติภูมิไม่พอใจที่ถูกกล่าวหาแบบนั้น “มีคนเขียนบอกมาแบบนั้นจริงๆ คนที่เข้าไปอ่านเจอส่วนใหญ่ยังเชื่อเรื่องนี้เลย”
“ส่วนใหญ่งั้นเหรอ?” นิลเนตรยังไม่ค่อยเชื่อ
“ไม่ใช่ส่วนใหญ่หรอก แต่ทุกคนเลยนั่นแหละ ฉันอุตส่าห์เขียนแก้ข่าวว่าไม่ใช่เรื่องจริง ยังถูกด่ากลับมาเจ็บๆแสบๆ แต่กลับไม่มีใครคิดจะช่วยกันแก้ข่าวนี้สักคน จะให้หมายความว่าไงอีก นอกจากทุกคนเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้เหมือนกันแหละ เพียงแต่คนพวกนั้นกลัวตัวเองจะเดือดร้อน ก็เลยไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่านั้นแหละ มีแต่ฉันแค่คนเดียวที่พยายามหาเหตุผลไปเถียงพวกมันหัวชนฝา แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน ทุกคนดูจะปักใจเชื่อกันว่ารัชกาลที่๑เป็นกบฎจริงๆ”
ทุกคนทำท่านิ่งคิดกัน ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้
“เป็นแค่ความอิจฉาริษยาเฉยๆ หรือว่าเป็นแผนการเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองอะไรหรือเปล่านะ” หมีอ้วนตั้งข้อสังเกตที่ชวนขบคิดอยู่
“ผลประโยชน์ทางการเมืองงั้นเหรอ?” เกียรติภูมิสะดุดหูขึ้นมา เขาเองก็ไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“แหม มันก็อาจเป็นไปได้นี่ อาจจะมีใครสักคนพยายามปล่อยข่าว เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศเราก็ได้”
“เว่อร์ไปเหรอเปล่า?” ศิลายวน
“ไม่ได้เว่อร์เว้ย เรื่องนี้มันเป็นไปได้นะ” หมีอ้วนยืนยันเสียงหนักแน่น “ไอ้พวกกลุ่มผู้ก่อการร้ายน่ะ พวกแกน่าจะรู้ ไอ้คนพวกนี้มันเป็นพวกที่ชั่วช้าสามานย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จิตใจมันทมิฬหินชาติ มันฆ่าได้หมดแม้กระทั่งเด็กแดงๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรมันก็สามารถทำได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเรื่องยาเสพติด หรือเรื่องวางระเบิดตามสถานที่ราชการ เรื่องพวกนี้มันยังทำกันได้หน้าตาเฉย ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ เพราะงั้นเรื่องที่จะใส่ร้ายราชวงศ์จักรี เพื่อบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของชาวไทยที่มีต่อพระมหากษัตริย์ แค่นี้ทำไมมันจะทำไม่ได้”
“อืม จริงด้วยซีนะ เป็นไปได้เหมือนกันว่า ต้นตอที่แท้จริงของเรื่องพวกนี้อาจจะมาจากพวกกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติของเราจริงๆก็ได้” เกียรติภูมิเองก็เห็นด้วย
“นั่นซี หลักฐานก็ไม่มี แล้วทำไมถึงยังอุตส่าห์ปั้นเรื่องที่ไม่เป็นจริงนี้ขึ้นมาได้เป็นตุเป็นตะ คิดได้แค่อย่างเดียวคือ ต้องมีคนที่ไม่หวังดีต่อราชวงศ์จักรีอยู่จริงๆ” นิลเนตรเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“ถ้าเป็นฝีมือคนพวกนี้จริง เราควรทำยังไง?” เกียรติภูมิถาม
“ทำยังไง ก็ให้ทำไงล่ะ?” หมีอ้วนแบมือ เขาไม่รู้จะทำไงด้วยซ้ำ คนอื่นๆเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
“แต่มีข่าวว่า ได้ค้นพบหลักฐานว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ถูกประหารชีวิตนะ แต่หนีไปผนวชอยู่ทางใต้ เลยเชื่อกันว่าท่านคงจะน้อยใจรัชกาลที่๑ที่สมคบคิดกับคนนอกจนหนีไปผนวชต่างหาก” ธิติมาพูด
“น้อยใจหนีไปบวชเนี่ยนะ? เธอเชื่อด้วยรึไง?” หมีอ้วนย้อนถามเธอบ้าง “ไม่ใช่เด็กเล็กๆเสียหน่อย คิดว่าพระเจ้าตากสินอายุกี่ขวบกัน แค่น้อยใจก็ต้องทิ้งบัลลังก์หนีไปบวชด้วย ถ้าหากมีหลักฐานว่ารัชกาลที่๑สมคบคิดกับคนนอกจริง ก็น่าจะสั่งประหารไปก็สิ้นเรื่อง คนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่องแบบนี้ จะเอาไว้ทำไม เธอเห็นพระเจ้าตากสินเป็นเด็กอมมือรึไง”
ธิติมาหน้าจ๋อยไปสนิท เมื่อโดนพูดใส่เช่นนั้น
“เรื่องนั้นจะเป็นไปได้ยังไง” ภาคินีสงสัย “มีหลักฐานว่า พระเจ้าตากสินถูกประหารจริงๆนะ ในเรื่อง‘เจ้าชีวิต’ที่นิพนธ์โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์จริง ตอนที่พระเจ้าตากสินถูกตัดสินโทษประหารชีวิตมาเล่าให้ฟังด้วย เรื่องนี้จะให้อธิบายว่ายังไง”
“ก็คงจะเป็นพยานเท็จน่ะซี ไม่งั้นจะเป็นแบบนั้นได้ไงกัน” ศิลาพูดทันที
“แล้วจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร?” หมีอ้วนไม่เชื่อ
“อ้าว งั้นเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ไง คนตายไปแล้วจะมีข่าวว่าหนีไปผนวชอยู่ทางใต้เนี่ยนะ”
“ต้องเป็นเพราะ...รัชกาลที่๑แน่ๆเลย” นิลเนตรพูดอย่างนึกได้ “ท่านคงจะใช้แผนสับเปลี่ยนตัวเอาคนอื่นไปประหารแทนนั่นเอง สมัยนั้นน่ะเวลาที่เขาจะประหารพระเจ้าแผ่นดินหรือพวกราชนิกูลน่ะ เขาจะเอาผ้าแดงคลุมศีรษะเอาไว้ก็เพื่อไม่ให้เลือดสีน้ำเงินตกลงบนแผ่นดิน นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะช่วยพระเจ้าตากสินหลบหนีการถูกประหารได้สำเร็จ แล้วคนที่จะช่วยท่านได้ตอนนั้น เห็นจะมีแต่รัชกาลที่๑เท่านั้น” เธอทำท่าเชื่อมั่นว่าเรื่องคงจะเป็นเช่นนี้เอง
“รัชกาลที่๑นี่น่ะนะ เป็นคนช่วยพระเจ้าตากสินหลบหนี?” ศิลาดูจะไม่ยอมเชื่อเอาจริงๆ
“ก็ใช่น่ะซี ถ้าไม่งั้นพระเจ้าตากสินจะรอดตายได้ไง คนที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นตัวการก่อการร้ายในกรุงธนบุรีนี่แหละ”
“เข้าใจล่ะ” ภาคินีทำท่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว “มิน่าล่ะ ตอนแรกรัชกาลที่๑ถึงได้ไม่สนใจจะทำพิธีถวายเพลิงศพให้พระเจ้าตากสิน เพราะทรงรู้อยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่พระศพของพระเจ้าตากสินจริงๆ แต่น่าจะเป็นศพของพวกนักโทษประหารมากกว่า ถึงได้ปล่อยให้คนนำไปฝังทิ้งไว้เฉยๆ แต่ตอนหลังคงนึกขึ้นได้ว่าอาจมีคนสงสัย จึงได้รับสั่งให้คนไปขุดพระศพขึ้นมา เพื่อทำพิธีให้อย่างสมพระเกียรติ์”
“อืม ก็ฟังเข้าเค้าอยู่เหมือนกันนะ” หมีอ้วนเห็นด้วย
ศิลาฟังแล้วรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตะหงิดๆ
“พูดไปพูดมา งั้นสรุปคือพระเจ้าตากสินก็เสียสติจริงๆ” เขาพูดอย่างหมั่นไส้มาก
“มันก็ยังไม่แน่หรอก” หมีอ้วนกลับพูดเช่นนั้น ทำเอาคนอื่นๆพากันแปลกใจกันหมด
“หมายความว่าไง?” เกียรติภูมิถามเขา
“ฉันเคยลองคิดดูเรื่องนี้ มันอาจเป็นความเข้าใจผิดกันบางอย่างก็ได้ ถ้าเรื่องที่รัชกาลที่๑เป็นกบฎเป็นไปไม่ได้อย่างที่อาจารย์ว่า พงศาวดารก็ถือว่าเขียนถูกต้องแล้ว มันก็ต้องมีสาเหตุอะไรสักอย่างใช่ม้า อาจเป็นอะไรที่เรามองข้ามไปเอง แล้วสาเหตุที่คนอื่นๆพากันคิดว่าพระเจ้าตากสินเสียสตินั่นน่ะ มันเริ่มมาจากตอนที่ท่านได้เรียกให้พระสงฆ์มาเข้าเฝ้าตอนนั้น แล้วก็ทรงมีรับสั่งถามว่า ‘อันพระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนจะสามารถกราบไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นโสดาบันได้หรือไม่ประการใด’ ฟังแค่นี้คนอื่นก็ต้องคิดว่าท่านคงเป็นบ้าไปแล้ว แม้แต่พวกสมเด็จพระสังฆราชเองก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกันแหละ”
“แล้วไง?”
“ก็ถ้าเราลองเอาคำพูดพวกนี้มาตีความดูดีๆ มันอาจมีความหมายพิเศษบางอย่างก็ได้ ลองคิดถึงสถานการณ์ตอนช่วงนั้นดูให้ดีๆ พระเจ้าตากสินเพิ่งจะมีรับสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จไปรบถึงกัมพูชา แล้วรับสั่งว่าเมื่อชนะแล้ว ก็ให้แต่งตั้งเจ้าฟ้าจุ้ยเป็นกษัตริย์ปกครองอยู่ที่นั่นต่อไป ถ้าคิดดูแล้วมันก็เหมือนกับเป็นการเนรเทศดีๆนี่เอง หมายความว่าในเมืองคงจะไม่มีคนดีๆหลงเหลืออีกแล้ว ก็เล่นให้ยกโขยงไปกันหมดเลยนี่หว่า เพราะงั้นท่านก็ต้องน่าจะอยากได้ใครสักคนมาช่วยงานไม่ใช่รึไง แล้วการที่ทรงเรียกพระสงฆ์มาเข้าเฝ้าในช่วงเวลานี้ มันก็น่าจะหมายความได้ว่าท่านมีพระประสงค์จะให้พระสงฆ์สามารถเข้ารับราชการไงล่ะ แต่การจะให้พระสงฆ์เข้ารับราชการได้ พระสงฆ์จะต้องทำการกราบไหว้พระองค์เหมือนกับข้าราชาการทั่วไปด้วย การที่รับสั่งถามเช่นนั้นก็เพื่อทดสอบดูว่าจะมีใครเข้าใจความหมายบ้างหรือเปล่า แต่กลับไม่มีใครตีความออกสักคน คำว่าพระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนน่ะ คงหมายถึงพระสงฆ์ที่เป็นข้าราชการ และคำว่าคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันก็หมายถึงพระมหากษัตริย์นี่เอง รวมความก็แปลได้ว่า อันพระสงฆ์ที่เป็นข้าราชการจะสามารถกราบไหว้พระมหากษัตริย์ได้หรือไม่ประการใด แต่กลับไม่มีใครทันฉุกใจแม้แต่น้อย ไม่ทันคิดว่ามันอาจจะเป็นการทดสอบเชาว์ปัญญา ส่วนใหญ่จึงพร้อมใจตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า‘ได้’ นั่นเพราะกลัวจะต้องพระอาญา แต่พวกสมเด็จพระสังฆราชกลับตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะพระองค์มีเพศต่ำกว่า’ พระเจ้าตากสินเลยพิโรธ เพราะถือว่าเป็นการหมิ่นพระเกียรติ์ ดูถูกกันอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด พระองค์ยังตรัสว่า สมเด็จพระสังฆราชทูลมดเท็จกล่าวคำอ้างผิดบาลี ซึ่งถ้าลองคิดดูจริงๆ สมเด็จพระสังฆราชกล่าวคำอ้างผิดบาลีจริงๆแหละ เพราะเท่าที่ฉันจำได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยดำรัสว่าพระองค์หรือพระสงฆ์มีเพศสูงส่งกว่าเรา แล้วบังคับให้เราต้องกราบไหว้กันเสียหน่อย แต่จริงๆที่พวกเรากราบไหว้น่ะ มันเป็น เพราะความเลื่อมใสศรัทธาของพวกเราเองไม่ใช่รึไง แล้วไหงสมเด็จพระสังฆราชถึงได้หลงคิดว่าตัวเองมีเพศสูงส่งกว่าพระมหากษัตริย์ได้ล่ะ แบบนี้มันกล่าวคำมดเท็จผิดบาลีอยู่เห็นๆ เพราะไม่อยากจะก้มหัวให้กับพระเจ้าตากสินแหละ พระเจ้าตากสินรู้ทันว่า สมเด็จพระสังฆราชเพียงแต่ถือดี ไม่ได้มีใจนับถือต่อพระองค์จริงๆ ท่านก็เลยกริ้ว สั่งโบยตีพระสงฆ์ทุกรูปที่อยู่ฝ่ายเดียวกับสมเด็จพระสังฆราชเสียให้หมด แต่พอหลังจากที่ทำไปแล้ว คนส่วนใหญ่ได้ยินเข้าก็ตกใจ เพราะเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ การเฆี่ยนตีพระสงฆ์แบบนี้เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรับกันไม่ได้ จึงพากันรุมด่าประนามว่าร้ายพระเจ้าตากสินกันไปต่างๆนาๆ พระเจ้าตากสินก็เลยยิ่งพิโรธหนัก จึงได้แกล้งหาเรื่องใส่ความพวกคนที่กล้ากล่าวว่าร้ายท่านไปเสียเลย ใครที่มันปากร้ายนัก ก็จับขึ้นย่างไฟซะ”
ทุกคนนิ่งอึ้งไปเลย ไม่เคยคาดคิดว่ามันอาจจะมีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ ทั้งๆที่หลักฐานก็แสดงให้เห็นโทนโท่
“เรื่องนี้จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” เกียรติภูมิชักไม่แน่ใจ
“แต่มันก็ฟังสมเหตุสมผลอยู่ไม่ใช่เหรอ?” นิลเนตรกลับรู้สึกว่าอาจจะใช่ก็ได้ “ก็ถ้าไม่งั้น จะให้สรุปว่าพระเจ้าตากสินเสียพระสติจริงๆหรือไง ถึงได้ให้เฆี่ยนตีพระสงฆ์และชาวเมืองแบบนั้น แต่ถ้าพูดถึงความเจ้าโทโสแล้ว เราก็รู้กันอยู่แล้วนี่ว่าท่านเป็นคนเจ้าอารมณ์แค่ไหน เวลาโกรธขึ้นมาก็มักเลือดขึ้นหน้าเสมอ นี่มันเป็นเรื่องของทางโลก ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกับปาฏิหาริย์อะไร มันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ท่านเองก็ยังไม่ลุโสดาบันจริงๆ เรื่องที่จะโกรธจนน็อตหลุด ทำไมจะเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าสรุปได้แบบนี้ เรื่องราวก็ถือว่ากระจ่างชัด และสามารถยืนยันได้ว่า รัชกาลที่๑ไม่ได้ทรงเป็นกบฎ แต่เป็นเพราะเกิดความผิดพลาดบางอย่าง จึงทำให้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้” ภาคินีพูด “ในเรื่องเจ้าชีวิตน่ะ พยานที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นเล่าว่า ก่อนที่จะประหารพระเจ้าตากสินนั้น พระองค์ได้เอ่ยขอร่ำลาทหารเอกคู่ใจเป็นครั้งสุดท้าย รัชกาลที่๑ได้สดับ ถึงกับพระเนตรคลอพระศอสั่น ตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ยกพระหัตถ์ขึ้นโบกลาให้ ฉันจึงคิดเสมอว่า รัชกาลที่๑มีความภักดีต่อพระเจ้าตากสินจริง เพราะงั้นการที่ท่านคิดวางแผนช่วยพาพระเจ้าตากสินหลบหนีไปนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่ยกมือโบกลานั่น ก็มีความหมายแบบนี้เอง เพราะถ้าจะต้องจากกัน โดยที่อีกฝ่ายกำลังจะถูกประหาร ท่านก็ไม่น่าจะโบกมือลาแบบนั้นเลย จริงไหม?”
“ไม่ง่ายไปหน่อยรึไง ฟังดูนิยายดีๆนี่เอง” ศิลาพูดราวกับไม่ยอมเชื่อ
“อ๋อ ถ้าคิดว่ารัชกาลที่๑ทรงเป็นกบฎฟังดูเข้าท่ากว่า งั้นก็เชิญนายบ้าคิดไปเองคนเดียวเถอะ” นิลเนตรพูดอย่างมีโมโห
“โอ๊ย เลิกเถียงกันสักทีได้ไหม เรื่องของรัชกาลที่๑หรือพระเจ้าตากสินจะเป็นยังไง ก็ช่างหัวไปสิ ไม่เห็นเกี่ยวกับพวกเราเลยสักนิด ใครเขาอยากจะว่าอะไรก็ให้ว่าไป เกี่ยวอะไรกับพวกนายด้วย ฟังแล้วรำคาญชะมัด” ปรียานุชหมั่นไส้ เสียจนทนไม่ไหวอีกต่อไป
อาจารย์จินตนาเดินเข้ามาเห็นทุกคนกำลังจับกลุ่มกันอยู่ ก็ทำท่าไม่พอใจ
“ทำอะไรกัน ยังไม่นั่งที่กันอีก มัวแต่คุยกันส่งเสียงดังไปถึงข้างนอกโน่น นี่มันออดตั้งนานแล้วนะ แย่จริงๆเลย เด็กพวกนี้”
นักเรียนทั้งหมดรีบร้อนหาที่นั่งโดยเร็ว อาจารย์จินตนาก็หยิบหนังสือของตนขึ้นมา “เอ้า หยิบหนังสือภาษาอังกฤษขึ้นมา” เธอออกคำสั่งให้ทุกคนทำตาม



home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป