หน้า 1 2 3 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๔...

าจารย์พิชัยได้รับโทรศัพท์จากตำรวจคนหนึ่ง เห็นบอกว่านักเรียนสาวคนหนึ่งของเขาคิดหนีเรียน จึงได้ถูกคนขับแท็กซี่ขับพามาส่ง ขอให้เขารีบไปรับตัวโดยด่วน
อาจารย์หนุ่มได้ยินก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าจะมีเรื่องถึงตำรวจด้วย นับเป็นครั้งแรกที่เขาเจอกรณีแบบนี้ เขาจึงพานักเรียนคนอื่นๆ ไปด้วยกันที่โรงพัก แล้วให้ทุกคนรอข้างนอก ส่วนตัวเขาเองก็เข้าไปเจรจาเพื่อขอรับตัวนักเรียนหญิงของเขากลับคืน
“มันเรื่องอะไรกันหรือครับ? ทำไมนักเรียนของผมถึงได้ถูกจับขึ้นโรงพักด้วยครับ” อาจารย์พิชัยถาม
“ไม่ได้ถูกจับครับ แค่นำตัวมาสอบถามนิดหน่อย เพราะเห็นคนขับแท็กซี่คนนี้แกบอกว่า เด็กของคุณคิดจะหนีเรียน นี่ผมเองก็งงๆอยู่เหมือนกัน ตกลงวันนี้ที่โรงเรียนมีเรียนพิเศษหรือไงครับ” นายตำรวจผู้เป็นเวรประจำวันถาม
“อ๋อ จริงๆวันนี้ผมตั้งใจว่าจะพานักเรียนของผมไปทัศนะศึกษากันน่ะครับ เพราะเด็กห้องผมไม่ค่อยมีใครสนใจจะเรียนวิชาประวัติศาสตร์กันเลย นี่ก็มาอยู่แค่สามคนเอง” อาจาย์พิชัยได้แต่ถอนใจอย่างผิดหวังอยู่ จริงๆเขาอยากจะให้มีคนมากันมากกว่านี้
จากนั้นเขาก็หันไปมองคนขับแท็กซี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้ความร่วมมือ” อาจารย์พิชัยพูดกับคนขับแท็กซี่ยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นแล้วทนดูไม่ได้จริงๆ เด็กสมัยนี้มันยังไงกัน สงสัยพ่อแม่คงไม่ค่อยอบรมสั่งสอน จริงๆผมว่าน่าจะเรียกตัวมาให้คุณตำรวจช่วยอบรมหน่อยจะดีกว่านะ” ลุงคนขับแท็กซี่บอก
คุณตำรวจเพียงแต่ยิ้มเฉยๆ ดีว่าเรื่องไม่เลยเถิดไปไกลนัก เด็กสาวยอมบอกชื่ออาจารย์จนได้ ทั้งที่ตอนแรกก็ยืนกรานเสียงแข็งนักหนา แต่พอขู่ว่าจะเรียกผู้ปกครองเท่านั้น ก็ยอมบอกชื่ออาจารย์ประจำชั้นออกมาโดยดี
เสียงโทรศัพท์มือถือเป็นเพลงจิงเกิ้ลเบลดังขึ้นอีก ทั้งหมดจึงหันไปมองเด็กสาวพร้อมกันอย่างหน่ายใจ เพราะเมื่อกี้ก็เพิ่งจะมีโทรศัพท์มาหยกๆเอง
ปรียานุชรับสายขึ้นมา
“ก็เมื่อกี้บอกแล้วไงว่าไปไม่ได้แล้ว ยังจะโทรมาทำไมอีกยะ”
แต่สักครู่ เธอก็เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะยื่นมือถือส่งให้กับอาจารย์พิชัย อีกฝ่ายรับไปงงๆ แต่พอเอามาแนบหู ก็ได้ยินเสียงของหมีอ้วนดังลอดมา
“ว่าไง? เจอตัวอาจารย์มั้ย?”
“เดี๋ยวซี่ ก็รออยู่นี่ไง” ศิลาตอบ
“ศิลา? หมีอ้วน? นั่นพวกเธอสองคนอยู่ไหน?” อาจารย์พิชัยถาม
“อ้าว อาจารย์ พอดีเลย ผมอยากถามอาจารย์ว่า อาจารย์จะพาพวกเราไปทัศนะศึกษาที่ไหนฮะ พวกผมสามคนอยากจะขอตามไปด้วย” ศิลาพูดมาตามสายอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“พวกเธอจะมาร่วมทัศนะศึกษาด้วยเหรอ?” อาจารย์พิชัยไม่คาดฝัน เหมือนถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งไม่มีผิด “เอาซี แต่ตอนนี้อาจารย์อยู่บนโรงพักนะ”
“โรงพัก!” ศิลาร้องอุทานเสียงหลง ไม่คิดว่าอาจารย์พิชัยจะไปอยู่ที่นั่น
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ แต่ถ้าพวกเธอจะตามมา ไปเจอกันที่หน้างานก็ได้นะ” อาจารย์พิชัยบอกสถานที่ให้รับทราบกัน
“ครับ เข้าใจแล้ว ไว้พวกผมสามคนจะรีบตามไปครับ”
“มาให้ได้นะ” อาจารย์พิชัยย้ำ
จากนั้นเขาก็ยื่นมือถือส่งให้กับเด็กสาวคืนไป
“ขอบคุณมากนะครับ ตอนนี้ผมกับพวกนักเรียนคงต้องขอตัวก่อน จะได้ไปทัศนะศึกษากันเสียที” อาจารย์พิชัยหันไปบอกกับพวกตำรวจและลุงคนขับแท็กซี่
“ครับ โชคดีนะครับ” นายตำรวจคนนั้นทำวัทยาหัตถ์
อาจารย์พิชัยหันมาพยักหน้ากับปรียานุช เพื่อให้เด็กสาวตามออกไปด้วยกัน แล้วไปสมทบกับนักเรียนหญิงอีกสามคนที่นั่งรออยู่แถวๆนั้น ซึ่งมีนิลเนตร ภาคินีและธิติมา ซึ่งถ้ารวมนักเรียนชายอีกสามคนที่จะตามมา คณะศึกษาในครั้งนี้ก็มีนักเรียนชายหญิงรวมกันเจ็ดคน ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
“เดี๋ยวพวกนายศิลาจะตามไปเจอกันที่หน้างาน เรารีบไปกันเถอะ” อาจารย์พิชัยบอก
ทุกคนทำท่าประหลาดใจน้อยๆ นิลเนตรมุ่นคิ้ว ชักสงสัยว่าจะมีใครมากันบ้าง

าจารย์พิชัยพาทุกคนมายังหน้าพระบรมมหาราชวัง ซึ่งทำเอานักเรียนทุกคนพากันตื่นเต้น เพราะเกิดมาไม่เคยเข้าไปข้างในมาก่อน แต่วันนี้พวกเขาได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ เพื่อเยี่ยมชมสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
“รออีกเดี๋ยวนะครับ ยังมีนักเรียนชายอีกสามคนกำลังตามมาครับ” อาจารย์พิชัยบอกกับทางเจ้าหน้าที่ให้รับทราบ
พวกเขาจึงยืนรออยู่แถวๆนั้น ไม่นานนัก ก็เห็นเด็กหนุ่มทั้งสามคนนั่งแท็กซี่มาลงที่หน้าประตูทางเข้าพอดี
“นายศิลา นายหมีอ้วน นายเกียรติภูมิ ทางนี้” อาจารย์พิชัยเรียกชื่อนักเรียนทั้งสามนาย
เด็กหนุ่มทั้งสามจึงรีบเข้าไปหา แล้วพบว่ามีนักเรียนหญิงอยู่แค่สี่คน
“เฮ้ย มีแค่สี่คนเองนี่ นายฟังข่าวมาผิดหรือเปล่า ไหนว่าพวกผู้หญิงมากันหมดไง” หมีอ้วนกระซิบถามศิลาอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แต่สี่คนก็ไม่น้อยแล้วนะ แถมยังเป็นดาวเด่นประจำห้องเราทั้งนั้นเลยไม่ใช่รึไง” ศิลาพูดยิ้มๆ
พูดอย่างงั้นมันก็ใช่จริงๆ ทั้งสี่คนถือเป็นสาวสวยที่สุดในชั้นปีสามบี นิลเนตรเองก็เป็นดาวประจำชมรมบาส ภาคีนีก็เป็นนักวาดการ์ตูนที่มีผลงานอยู่พอสมควร ปรียานุชเป็นสาวเปรี้ยวที่มีพ่อเป็นถึงทูต ธิติมาเป็นสาวหมวยที่เอาใจคนเก่ง อัธยาศัยดี เข้ากับคนได้ง่าย
“เอาล่ะ ก่อนอื่นพวกเธอควรฟังให้ดี อย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่านตามอำเภอใจล่ะ เพราะในนั้นมีสถานที่บางแห่งที่เขาห้ามคนนอกเข้าไป ดังนั้นพยายามคอยเดินตามคนอื่นๆ อย่าห่างอาจารย์ให้มากนัก เข้าใจมั้ย?” อาจารย์พิชัยหันไปกำชับกับทุกคน
“ครับ(ค่ะ)” ทั้งเจ็ดคนรับคำพร้อมๆกัน
จากนั้นพวกเขาก็เตรียมจะเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไป ธิติมาหันมายิ้มหวานให้เกียรติภูมิ
“นึกอยู่แล้วว่านายต้องมาด้วย” เธอพูดยิ้มๆ
เกียรติภูมิหน้าบื้อไปเลย ไม่เข้าใจที่เธอพูด
ศิลากลั้นยิ้มขำเต็มที่ งานนี้ท่าทางจะสนุกกว่าที่คิด
ภาคินีกับนิลเนตรจับคู่กันเองโดยอัตโนมัติ โดยเดินตามหลังอาจารย์พิชัยอยู่ไม่ห่างนัก
“นิล ถามจริงๆเถอะ เธอชอบนายเกียรติภูมิหรือเปล่า?” ภาคินีกระซิบถามเธอด้วยความอยากรู้
“ทำไมถามแบบนั้น?” นิลเนตรถาม เริ่มสงสัย
“ก็คราวก่อนน่ะ นายศิลาเขาประกาศเรื่องที่นายเกียรติภูมิชอบเธอซะลั่นห้อง ตอนนี้ใครๆก็ลือกัน เขาตกลงว่าจะจับคู่พวกเธอเป็นแฟนแน่ะ”
“แต่ฉันไม่ได้คิดกับเขาแบบนั้นนะ” นิลเนตรกระซิบตอบเสียงเบาพอๆกัน ท่าทางชักเดือดร้อน
“เพราะอะไร? หรือเธอมีคนที่ชอบแล้ว?” ภาคินีดักคอ
นิลเนตรพยายามวางหน้าให้เรียบ
“ใครบอกเล่า ฉันก็แค่ไม่ชอบคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเท่านั้นเอง ผิดตรงไหนรึไง”
“อ๋อ เธอชอบคนที่เป็นโล้เป็นพายซีนะ เอ...ใครกันน้า”
นิลเนตรหน้าแดงเล็กน้อย เสมองไปทางอื่น ไม่กล้ามองไปข้างหน้าตรงๆ ซึ่งมีแผ่นหลังของใครบางคน
จู่ๆหัวใจเธอก็เต้นโครมครามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นับแต่เดินผ่านบานประตูเข้าไปข้างใน จนใกล้ถึงห้องนั้นทุกที
ทันใดก็มีเสียงร้องดังโกรธเกรี้ยว
“ไอ้พวกพม่ามันคิดจะยกทัพเข้ามาถึงเก้าทัพ จำนวนพลมีมากมายดาษดื่นแทบมืดฟ้ามัวดิน ขอใต้ฝ่าละลองมีพระบัญชาให้พวกข้าพระพุทธเจ้าออกไปสู้รบมันด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ”
เสียงกู่ร้องฟังวิเวกโหวงดังสนั่นก้องไปทั่ว
“เป็นอะไรไปหรือ นิล?” ภาคินีกระซิบถามเธอ เมื่อเห็นนิลเนตรจู่ๆก็หน้าซีดขึ้นมา
“ไม่รู้ซี ฉัน...”
อาจารย์พิชัยหยุดยืนหันมามองหลังเล็กน้อย
“เอาล่ะ เดี๋ยวห้องต่อไปจะเป็นห้องที่ใช้เก็บพระแสงดาบของรัชกาลที่๑ ขอให้ตามเข้าไปเงียบๆนะ” อาจารย์พูดกับทุกคน
นักเรียนทั้งเจ็ดทำท่าเข้าใจ ก่อนจะเดินตามหลังอาจารย์พิชัยกับเจ้าหน้าที่เข้าไปในห้องที่ใช้จัดเก็บพระแสงดาบ พวกเขาเดินตามเข้าไป ก่อนจะไปหยุดลงตรงเบื้องหน้าสิ่งที่ถูกจัดแสดงอยู่ตรงที่แห่งนั้นโดยมีเชือกเส้นยาวกั้นไว้
หนุ่มสาวทั้งเจ็ดหยุดยืนจ้องมองไปยังพระแสงดาบโดยพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้น ภาพข้างหน้าก็ดูเหมือนบิดเบี้ยวไม่เป็นจริง มีแต่เพียงพระแสงดาบที่เหมือนจะเปล่งรัศมีทรงพลังบางอย่างออกมาเจิดจ้าดูสว่างไสวไปหมดทั้งห้อง
ทั้งเจ็ดพากันชะงักไปครู่ รู้สึกมึนศีรษะขึ้นมาราวกับตกอยู่ในมนต์สะกดอย่างแรง พวกเขาพยายามจะมองหน้าอาจารย์พิชัยที่อยู่ข้างหน้า แต่กลับมองเห็นแค่เงาลางๆ
ก่อนที่จะพากันล้มฮวบหมดสติลงไปทีละคนสองคน

ระแสกาลเวลาถูกบิดเบี้ยวผันแปร พวกเขาทั้งเจ็ดกำลังถูกอำน าจบางอย่างส่งข้ามเวลาไปยังอดีตภพอันแสนไกล เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ เมื่อพวกเขาค่อยๆรู้สึกตัวอีกที รอบตัวนั้นมีแต่ความมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
“อะไร? นี่มันที่ไหน?” ศิลารู้สึกตัวเป็นคนแรกก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ เพราะที่นี่มันดูเปลี่ยวจนน่าวังเวงจับใจ พวกเขาถูกทิ้งให้อยู่กลางป่าเขาที่ไหนสักแห่ง
หมีอ้วนมองไปรอบๆอย่างตื่นตระหนก
“ฉันฝันไปหรือเปล่า เมื่อกี้เรายังอยู่ในห้องแสดงพระแสงดาบของรัชกาลที่๑อยู่นี่นา” เขาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็น
“อาจารย์ล่ะ? อาจารย์อยู่ที่ไหน?” ปรียานุชถาม
พวกเขาลุกขึ้นเหลียวมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นอาจารย์พิชัยเลย แม้แต่พวกเจ้าหน้าที่ก็หายกันไปหมดด้วย
“ไม่จริงน่า พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ที่นี่มันที่ไหน แล้วอาจารย์พิชัยล่ะ อาจารย์ไปไหนแล้ว” ศิลาแทบตะโกนออกมา
“อาจารย์! อาจารย์!” ปรียานุชตะโกนเรียกคนแรก
คนอื่นๆได้ยิน ก็พากันตะโกนเรียกกันบ้าง
แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น นอกจากความวิเวกวังเวงเท่านั้น
หมีอ้วนตบหน้าตัวเองแรงๆเป็นการใหญ่
“ทำอะไร?” เกียรติภูมิถามเขา
“นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ ฉันกำลังจะปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาน่ะซี ถามได้” หมีอ้วนตะโกนตอบ
“นายจะตบตัวเองให้ตายหรือไง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำเป็นสำออยนะ คิดหาทางสักอย่างดีกว่า”
“คิดหาทางเรอะ หาทางอะไรล่ะ ที่นี่มันที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย พวกเราน่ะอยู่ในห้องแสดงพระแสงดาบอยู่ แล้วไหงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มันเกิดอะไรขึ้น อาจารย์หายไปไหน นายบอกฉันได้ไหม”
เกียรติภูมิอึ้งไปเป็นครู่
“ถ้านี่ไม่ใช่ความฝัน ทำไมเราถึงได้มาอยู่ที่นี่ เราคงไม่ได้นั่งไทม์แม็กชีนมาหรอกนะ ดีไม่ดี ที่นี่อาจไม่ใช่โลกของพวกเราเลยก็ได้”
ทุกคนได้ฟังก็มีสีหน้าตื่นตระหนกยิ่งขึ้น
“เหมือนหนังบางเรื่องไม่มีผิดเลย” ธิติมาอุทาน
“หนังอะไร?” เกียรติภูมิถาม
“ก็อย่างเรื่องทวิภพไง ที่นางเอกหลงเข้ามายุคอดีต ฉันว่าพวกเราต้องหลงมายุคอดีตแน่ๆ”
“เหลวไหล!” เกียรติภูมิไม่เชื่อ
ธิติมาหน้าม่อย เมื่อโดนเขาเอ็ด
“งั้นนายคิดว่าที่นี่มันที่ไหนล่ะ” หมีอ้วนถามเขา
เกียรติภูมิไม่ตอบ เพราะไม่รู้คำตอบ
“บางที...นี่อาจเป็นยุคสมัยรัชกาลที่๑ก็ได้” นิลเนตรพูดราวกับรู้อะไรบางอย่าง
“ทำไมคิดอย่างงั้น?” เกียรติภูมิถาม
“ก็พวกเรากำลังเข้าไปดูพระแสงดาบของรัชกาลที่๑ไม่ใช่หรือไง ถ้าเราหลงมายุคในอดีตจริงๆ เราก็คงถูกส่งมายุคสมัยรัชกาลที่๑น่ะซี”
“แล้วใครส่งเรามา?”
นิลเนตรไม่รู้เหมือนกัน เธอจึงได้แต่นิ่งเงียบ
“นี่ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปเหรอ?” ภาคินีถาม เธออยากรู้ว่าต่อไปควรทำยังไงดีมากกว่า
ทุกคนมองหน้ากันเอง แล้วก็เริ่มรู้สึกตัวทีละน้อยว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
หมีอ้วนโผนตัวไปเอาศีรษะกระแทกต้นไม้อย่างแรง เล่นเอาทุกคนตกใจกันหมด เกียรติภูมิต้องรีบเข้าไปกระชากตัวเขาโดยแรง
“ทำอะไรบ้าๆของนายอีก?” เขาแทบตะโกนถาม
“พวกเรากำลังจะตาย พวกเราทุกคนต้องตาย” หมีอ้วนร่ำร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
“อย่าพูดให้คนอื่นเสียขวัญได้ไหม?”
“นายยังคิดว่าพวกเราจะรอดอีกรึไง ถ้าที่นี่เป็นยุคสมัยของรัชกาลที่๑ล่ะก็ แสดงว่าที่นี่ยังต้องมีสงครามอยู่ แล้วดูพวกเราแต่ละคนให้ดีก่อนซี ฉันตัวใหญ่มีแต่แรงอย่างเดียว แถมยังกินจุ ส่วนนายมันแค่ประธานชมรมปิงปองกิ๊กก๊อก นายศิลาก็ดีแต่ปากมาก ชอบหาเรื่องคนอื่นไปวันๆ ที่เหลือก็มีแต่ผู้หญิงอีกสี่คน อย่างพวกเราจะไปมีปัญญาช่วยคุ้มครองใครได้ แค่จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลยนะ พวกเราต้องตายกันหมดแน่ๆ” หมีอ้วนน้ำตาไหลอย่างไม่ตั้งใจ
พวกผู้หญิงก็เริ่มมีคนร้องไห้ออกมากระซิก ทั้งปรียานุชและธิติมา ทำให้พวกผู้ชายยิ่งพากันพูดไม่ออกไปกันใหญ่
“ถ้าพวกนายอยากเอาตัวรอดกันล่ะก็ จะทิ้งพวกเราไว้ที่นี่ก็ได้” นิลเนตรพูดอย่างหยิ่งยะโส ไม่ยอมง้องอนผู้ชายเด็ดขาด
“นิล พูดอะไรของเธอ” ภาคินีกลัวว่าพวกผู้ชายจะพากันทิ้งพวกเธอไปจริงๆ
“เธอคิดว่าเราจะหวังพึ่งพาคนพวกนี้ได้จริงๆหรือไง อย่างที่นายหมีอ้วนบอกนั่นแหละ” นิลเนตรพูดกับเธอ
เกียรติภูมิหน้าบึ้ง เมื่อโดนหมิ่นศักดิ์ศรี
“ถึงพวกฉันจะไม่เอาไหน อาจไม่มีปัญญาคุ้มครองพวกเธอได้ แต่เรื่องจะให้ทิ้งไปเฉยๆ พวกฉันก็ทำไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ อย่ามาดูถูกกันนะ”
ธิติมารีบเข้าไปกอดแขนเขา
“อย่าทิ้งพวกฉันไปนะ” เธอร้องไห้สะอื้นซบหน้ากับไหล่ของเขาอย่างขอร้อง
เกียรติภูมิไม่พูดอะไรอยู่เป็นครู่ จนกระทั่งพวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้สึกตัว จู่ๆก็มีแสงคบไฟเต็มไปหมดรอบตัวพวกเขา แล้วมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา ในมือถืออาวุธเต็มไปหมด มีทั้งดาบและปืนยาวคาบศิลา
ทั้งเจ็ดคนพากันตื่นตระหนก ได้แต่ขยับตัวถอยมาจนหลังแทบชนกัน
“อะไรกัน? คนพวกนี้มาจากไหน? แล้วเป็นใคร?” ศิลาร้องถามแทบเสียงหลง เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มคนพวกนี้ที่แอบซุ่มมาห้อมล้อมพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา จนแม้แต่จะติดปีกก็คงบินหนีไม่พ้น
“ดูพวกเขาแต่งตัวก่อนซี พวกนี้ไม่ใช่คนยุคของเราจริงๆ ด้วย” นิลเนตรบอกทุกคน
พวกเขามองดูการแต่งกายของคนกลุ่มนั้น พบว่าเป็นเสื้อผ้าที่ดูแปลกตามาก ซึ่งเคยเห็นแต่ในหนังเท่านั้น
“เฮ้ย พวกมันไม่ใช่คนไทยนี่ แต่งตัวโพกหัวแบบนี้ ต้องเป็นพวกพม่าแน่ๆ” หมีอ้วนร้องเสียงสั่นกลัวเป็นอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าจู่ๆก็จะมาตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายศัตรูเข้า
แค่ได้ยินว่าเป็นพม่า ทุกคนก็ตกใจจนแทบเข่าอ่อนกันไปหมด ใครจะคิดว่าจู่ๆก็จะมาถูกศัตรูจับตัวได้ง่ายๆปานนั้น
ทหารพม่าเองก็จ้องดูคนทั้งเจ็ดอย่างงุนงงอยู่ เพราะเพิ่งจะเคยเห็นพวกคนที่ดูแปลกๆเช่นนี้มาก่อน จะว่าเป็นพวกชาวบ้านป่าแถวนี้ก็ไม่น่าจะใช่
หลังจากที่พูดจาหารือกัน พวกเขาก็ตัดสินใจนำทั้งเจ็ดคนกลับไปยังค่ายของตน เพื่อให้แม่ทัพตัดสินว่าจะทำอย่างไร

วกเขาทั้งเจ็ดได้หลงเข้ามาในยุคสมัยอดีต ในครั้งสมัยของรัชกาลที่๑ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งยุคสงคราม กษัตริย์พม่าในเวลานั้นคือพระเจ้าปดุงได้ให้เกณฑ์ผู้คนต่างชาติต่างภาษาเข้ามาด้วยกันถึงเก้าทัพ แยกเป็นห้าทิศทางเพื่อบุกเข้าโจมตีประเทศสยามพร้อมกันในครั้งเดียว
แมงยี แมงข่องกยอ เป็นแม่ทัพกองที่๑ ยกทัพลงมาเมื่อเดือน8 ปีมะเส็ง ด้วยพระเจ้าปดุงให้เป็นพนักงานรวบรวมเสบียงอาหารเตรียมไว้สำหรับกองทัพหลวงที่จะยกลงมาตั้งประชุมทัพที่เมืองเมาะตะมะ
ทั้งเจ็ดคนบังเอิญโชคร้ายที่ถูกกองทัพของแม่ทัพผู้นี้จับตัวไว้ได้ และถูกคุมตัวเข้ามาพบแม่ทัพในค่าย แมงยี แมงข่องกยอ ได้ฟังเรื่องราวจากทหาร และสังเกตท่าทางทั้งเจ็ดคนอย่างสงสัย
“ท่านแม่ทัพให้ข้าถามว่า พวกเจ้าทั้งหมดเป็นใคร ดูจากนรลักษณ์ของพวกเจ้าแล้ว หาใช่เพียงแค่ปุถุชนสามัญ ฤาว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้วิเศษจากที่ใดรึ” ล่ามที่ทำหน้าที่เป็นผู้แปลภาษาได้ถามพวกเขาเป็นสำเนียงภาษาไทยอย่างชัดเจน
"ถ้าใช่ แล้วจะทำไม” เกียรติภูมิย้อนถาม
ล่ามหันไปพูดกับแม่ทัพเป็นภาษาพม่าอย่างชัดเจน แมงยี แมงข่องกยอก็พูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาเดียวกัน ก่อนที่ล่ามจะหันมาทางพวกเขา
“หากพวกเจ้าใช่ผู้วิเศษโดยแท้ ขอจงได้โปรดสำแดงพลังอำนาจฤทธีของพวกเจ้าให้เป็นที่ประจักษ์ปรากฎแก่สายตาของพวกข้าน้อยด้วยเถิด” ล่ามกล่าวกับทั้งเจ็ดคนด้วยสำเนียงฟังสุภาพลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงสำรวมท่าทีอยู่ เพราะยังไม่คิดปักใจเชื่อเสียทีเดียว
ทั้งเจ็ดคนหันมามองหน้ากันเองว่า จะทำยังไงดี หากไม่แสดงพลังวิเศษออกมาให้เห็นบ้าง เห็นทีพวกเขาอาจต้องตายอยู่ที่นี่ก็ได้
ปรียานุชนึกขึ้นได้ รีบหยิบมือถือออกมาโชว์ให้ทุกคนดู
“ทุกคนดูนี่ก่อน คิดว่ามันคืออะไร?” เธอถาม
แม่ทัพและเหล่าทหารจ้องมองอย่างไม่เข้าใจ ของเล็กๆที่เธอถือเป็นของที่มีรูปร่างประหลาดสิ้นดี พวกเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยในชีวิต
ปรียานุชเปิดสัญญาณมือถือ ภาวนาขอให้มันทำงานตามปรกติด้วยเถิด เธอเปิดเพลงจิงเกิ้ลเบลออกมาให้ได้ยินกันทุกคน
เสียงฮือฮาดังไปทั่ว เหล่าทหารได้ยินก็พากันตื่นตกใจขึ้นมาตามกัน ก่อนที่จะมีคนรีบคุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขา แล้วพากันกราบคำนับเป็นการใหญ่ ราวกับเห็นพวกเขากลายเป็นเทพเจ้าคนสำคัญไปแล้ว
แม่ทัพแมงยี แมงข่องกยอก็ดูพอใจอยู่ในที เขาพูดอะไรบางอย่างกับล่าม แล้วให้ล่ามช่วยแปลให้อีกตามเคย
“ท่านแม่ทัพขอเชิญพวกท่านทั้งเจ็ดพำนักอยู่ในค่ายเราด้วย ท่านมีความประสงค์อยากจะผูกมิตรกับพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ช่วยเราทำนุบำรุงกองทัพไว้ต่อสู้กับอริราชศัตรูต่อไป ท่านแม่ทัพจะให้คนเร่งจัดที่พำนักให้อย่างดีที่สุด” ล่ามบอกกับพวกเขา
หมีอ้วนได้ยินก็ตาโตเท่าไข่ห่าน
“มีอาหารอร่อยๆด้วยใช่ไหม?” เขาถามอย่างตะกละ
ล่ามได้ยินก็จ้องเขาอย่างตกใจ เพราะรูปร่างของเขาดูอ้วนใหญ่มาก ดูๆไปหน้าตาคล้ายกับยักษ์ไม่มีผิด
“เอ้อ...ท่านทานอาหารเยี่ยงมนุษย์ใช่หรือไม่?” เขาถามอย่างนึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“อุวะ เห็นพวกฉันเป็นตัวอะไร?” หมีอ้วนชักโกรธ รู้สึกใครๆก็ชอบมีปัญหากับเรื่องรูปร่างหน้าตาของเขากันเสียจริงๆ
ศิลาแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“เขาก็เห็นนายเป็นยักษ์ปักหลั่นที่ชอบกินคนน่ะซีฟะ ไม่น่าถาม”
หมีอ้วนอยากจะหักคอศิลาจิ้มน้ำพริกจริงๆ
“พวกท่านอย่ากลัวไปเลย หมอนี่ถึงจะเป็นยักษ์ แต่เขาก็บำเพ็ญเพียรเป็นฤาษี ไม่กินคนหรอก” เกียรติภูมิหันไปพูดกับผู้ที่ทำหน้าที่เป็นล่ามเสีย ไหนๆก็แล้ว บ้าตามไปเลยดีกว่า “ถ้าพวกท่านปฏิบัติตัวกับเราเป็นอย่างดี เราก็พร้อมที่จะช่วยเหลือพวกท่านทุกวิถีทางแน่นอน”
ล่ามค่อยวางใจ ก่อนจะหันไปรายงานให้กับแม่ทัพของตนทราบว่า ทั้งเจ็ดคนได้ยอมรับไมตรีของแม่ทัพแล้ว
แมงยี แมงข่องกยอพอใจกับคำตอบเป็นอย่างมาก จึงได้สั่ง เร่งเตรียมที่พักไว้รับรองให้กับเหล่าผู้วิเศษทั้งเจ็ดคน ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่าคงจะเป็นเทพทั้งหกและยักษ์อีกหนึ่งตนจำแลงกายมา เพราะดูจากการแต่งกายของทั้งเจ็ดคนแล้ว ต้องไม่ใช่คนบนโลกนี้อย่างแน่นอน

homeย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป