หน้า 1 2 3 4 5 6 7 9 10 11 12
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๘…

ม่กี่วันต่อมา ก็มีรถเก๋งคันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าบ้านของชาติชาย ตอนแรกคนในบ้านไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะว่าไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน ก็เกือบจะไม่สนใจ แต่พอเห็นคนที่เปิดประตูลงมา ดาวฉายก็มีอันวี๊ดว๊าย
“นั่นคุณเหมวันต์นี่นา ขับรถคันใหม่มาด้วย นี่เขาลงทุนซื้อรถเองเลยหรือเนี่ย?” เด็กสาวแทบไม่อยากจะเชื่อ
เหมวันต์หยิบช่อดอกไม้ออกมา แล้วเขาก็เดินตรงเข้าไปยังบ้านของทุกคน ซึ่งดูเหมือนจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันหมด
“สวัสดีครับ คุณชาติชาย คุณดารา” เหมวันต์กล่าวทักทายคนทั้งสองอย่างสุภาพ
และโดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เขาหันไปยื่นช่อดอกไม้ให้กับเดือนไฉไล ไม่ใช่ฟ้ารุ่ง
เดือนไฉไลแทบไม่อยากเชื่อ เธอรับช่อดอกไม้มากอดไว้กับอก มองคนอื่นๆอย่างตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
ทั้งดาราและดาวฉายก็พลอยแสดงความยินดีไปกับเธอด้วย เพราะในที่สุดชายหนุ่มก็แสดงความสนใจในตัวเธอออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ชาติชายดูงุนงงอยู่ เพราะคิดว่าเหมวันต์จะมอบดอกไม้ให้กับฟ้ารุ่ง เขาเห็นหญิงสาวยืนหน้าซีดอยู่ ก็อดนึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าเหมวันต์สนใจเดือนไฉไลจริงๆ เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะเขาเองก็จะได้สูตรยาอมตะเหมือนกัน
เดือนไฉไลมีอาการสะเทิ้นอายขึ้นมา รีบวิ่งกลับขึ้นห้องพร้อมกับช่อดอกไม้ ทำเอาคนอื่นงงไปกันหมด
ดาวฉายรีบตามเธอไปที่ห้อง และพบเธอกำลังเปิดตู้เสื้อผ้าเป็นการใหญ่
“พี่เดือนจะทำอะไรคะ?” ดาวฉายถามอย่างสงสัย
“ถามได้ พี่ก็จะแต่งตัวใหม่ซี เธอว่าชุดนี้เป็นไง? คุณเหมวันต์จะชอบไหม?” เดือนไฉไลหยิบชุดกระโปรงสีฟ้าออกมา แล้วถามน้องสาว
ดาวฉายได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ถึงจะรู้สึกอิจฉา แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเหมวันต์เลือกพี่สาวของเธอเอง
“ดาวว่า ไม่ว่าพี่เดือนใส่ชุดไหน ก็ดูสวยทั้งนั้น แล้วคุณเหมวันต์เองก็คงจะพอใจทั้งนั้นแหละค่ะ”
“ปากหวานจริงนะเรา” แต่เดือนไฉไลก็ดูพอใจที่ได้ยิน
เดือนไฉไลเลือกชุดที่คิดว่าสวยที่สุด แล้วเธอก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ ก่อนจะลงไปพบเหมวันต์ที่ห้องรับแขก
ชาติชายทำหน้าเฉยๆ ไม่วิจารณ์อะไรทั้งสิ้น
เหมวันต์ลุกขึ้นยิ้มให้กับหญิงสาว
“คุณเดือนสวมชุดนี้แล้วดูสวยมากครับ” เขากล่าวชมเชยออกไป
เดือนไฉไลพอใจมากจนเห็นได้ชัด
“ว่าแต่คุณจะให้เกียรติ์ออกไปทานข้าวข้างนอกกับผมสักมื้อได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มถามเสียงสุภาพ
“ได้ค่ะ คุณเหมวันต์” เดือนไฉไลรีบตกลงทันที
“เชิญครับ” เหมวันต์ผายมือ
เดือนไฉไลมองบิดามารดา
“ไปเถอะ คุณเหมวันต์ขออนุญาตแล้ว พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไรหรอกลูก” ดารารีบบอกกับลูกสาวยิ้มแย้ม
เดือนไฉไลจึงคล้องแขนชายหนุ่ม แต่พอเจอฟ้ารุ่ง เธอก็ยิ้มอย่างคนชนะ ก่อนจะเดินไปกับชายหนุ่มโดยไม่สนใจอีก
“นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก” ดาวฉายพูดลอยๆ โดยจงใจให้ฟ้ารุ่งได้ยินอย่างชัดเจน
ฟ้ารุ่งไม่อยากเชื่อ แต่ภาพที่เธอเห็นนั้น ไม่สามารถทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปได้
ทั้งๆที่ปากก็เพิ่งพูดว่าจะแต่งงานกับเธอ แต่เผลอหน่อยเดียวก็ไปควงกับพี่สาวของเธอแทนแล้ว
ฟ้ารุ่งอยากจะร้องไห้เหลือเกิน แต่เธอเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเสียด้วย
ภัทรพลเข้ามาโอบไหล่เธอเหมือนจะปลอบ
หญิงสาวมองหน้าเขา
“ไม่เป็นไรนะ ฟ้า?”
ฟ้ารุ่งพยักหน้า
“อุ๊ย! อะไรจะสำออยนักเชียว” ดาวฉายหมั่นไส้ รีบหมุนตัวเดินหนี

อนเย็นเหมวันต์ก็ขับรถพาหญิงสาวกลับมาส่ง จากนั้นเขาก็รีบกลับไปทันที โดยสัญญาว่าจะมาอีก
วันรุ่งขึ้น เขาก็มาแต่เช้า แต่แทนที่จะมาขอพบกับหญิงสาว เขากลับขอพบกับชาติชายตามลำพัง
ไม่มีใครทราบว่า เขาเข้าไปคุยอะไรกับชาติชายอยู่นานสองนาน แต่ดูท่าว่าจะเป็นธุระสำคัญมาก
ดารากับลูกสาวทั้งสองต่างก็อยากจะรู้เต็มแก่ ว่าเรื่องอะไรกันนักกันหนา แต่พวกเธอก็ต้องอดทนรออย่างใจเย็น จนกระทั่งเหมวันต์กับชาติชายออกมาจากห้องด้วยกัน
“ผมกลับก่อนนะครับ” เหมวันต์พูดยิ้มๆกับทุกคน
“อ้าว! จะกลับแล้วหรือคะ?” เดือนไฉไลดูผิดหวังมากที่เขารีบร้อนกลับแบบนั้น
“ให้พ่อเหมวันต์กลับเถอะลูก เพราะเขายังมีธุระสำคัญที่จะต้องรีบไปจัดการ” ชาติชายบอกยิ้มๆ สีหน้าดูสดชื่นอย่างเห็นได้ชัดว่าต้องได้รับข่าวดีแน่
พอเหมวันต์กลับไปแล้ว ทุกคนก็หันมามองชาติชายกันเป็นตาเดียว
“นี่มันอะไรกันคะคุณ?” ดาราถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
“คุณเองก็รีบเตรียมตัดชุดได้แล้ว ทุกคนด้วย ยายฟ้าก็ด้วย เพราะอีกไม่นาน...บ้านเราก็จะมีงานเลี้ยงสำคัญ” ชาติชายบอกยิ้มแย้ม
“งานเลี้ยงอะไรคะ คุณพ่อ?” ดาวฉายรีบถาม รู้สึกว่ามันจะรวดเร็วจนรับไม่ทันแล้ว
“งานเลี้ยงแต่งงานไง คุณเหมวันต์เขามาสู่ขอ‘ลูกสาว’กับพ่อ” ชาติชายบอก
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อ
“พี่เดือน!” ดาวฉายเรียกเธอ
เดือนไฉไลห้ามน้ำตาแห่งความดีใจไว้ไม่อยู่
“คุณแม่คะ” เธอกอดมารดา
ดาราเองก็พลอยดีใจไปกับเธอด้วย
“แหม...คิดไม่ถึงเลยว่า คุณเหมวันต์จะเป็นคนใจเร็วถึงขนาดนี้ ไม่ทันไรก็พูดเรื่องแต่งงานกับคุณพ่อเสียแล้ว” ดาวฉายพูดยิ้มๆ
“งั้นก็หมายความว่า...นายเหมวันต์ยอมมอบสูตรยาให้โดยดีใช่ไหมครับ? คุณพ่อ” ภัทรพลถามบิดาของเขา
ชาติชายพยักหน้า
ดาราพลอยตื่นเต้นยินดีไปด้วย
“นี่ฉันจะได้กลายเป็นสาวสองพันปีแล้วหรือเนี่ย?” เธอดีใจจนแทบเนื้อเต้น
เดือนไฉไลกับดาวฉายเองก็ดีใจ
“พวกเราทั้งหมดก็จะได้มีชีวิตเป็นนิรันดร์ใช่ไหมคะ?” ดาวฉายพูดออกมาดังๆ
“ใช่ แค่‘พวกเรา’ทั้งหมด คนอื่นไม่เกี่ยว” เดือนไฉไลพูด โดยปรายหางตามองมาทางฟ้ารุ่งอย่างบอกให้รู้ตัวว่า เธอไม่มีเอี่ยวกับเขาด้วย
ฟ้ารุ่งไม่ได้โต้แย้ง เพราะเธอไม่เคยหวังจะมีชีวิตนิรันดร์เหมือนคนอื่น เธอไม่อยากจะมีชีวิตนิรันดร์ โดยเฝ้ามองคนทั้งคู่ต่างมีความสุขด้วยกัน
ใจจริงแล้ว เธออยากจะตายเสียตอนนี้ด้วยซ้ำไป
“ยินดีด้วยนะคะ พี่เดือน” เธอจำต้องพูดออกไป
“ขอบใจ” เดือนไฉไลพูดยิ้มๆอย่างพอใจอยู่
“งานนี้หนูขอเป็นเพื่อนเจ้าสาวนะคะ” ดาวฉายพูดกับเธออย่างเอาใจ
“ได้ซี งานนี้ฉันต้องการเพื่อนเจ้าสาวหลายๆคน เพราะงั้น...ฟ้ารุ่ง เธอเองก็ควรเตรียมตัวด้วยนะ เธอจงยินดีเถอะ ที่จะได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวยืนอยู่ข้างหลังฉัน และดูฉันกับคุณเหมวันต์เข้าพิธีรดน้ำสังข์ด้วยกัน”
ฟ้ารุ่งหน้าถอดสี แต่เธอก็ไม่กล้าปฏิเสธ
มีอะไรจะเจ็บปวดไปกว่าการที่ต้องกลายมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว และยืนดูคนรักไปแต่งงานกับคนอื่นได้อีก

ต่หลังจากนั้น เหมวันต์ก็แทบจะไม่โผล่หน้ามาที่บ้านอีก ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องแปลกอยู่ แต่ชาติชายบอกว่า เหมวันต์ต้องวุ่นกับการเตรียมงาน เขาอาสารับจัดการทุกอย่างเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาสถานที่แต่งงาน หรือการเตรียมการ์ด ชาติชายได้มอบรายชื่อแขกเหรื่อของฝ่ายตนไปให้ และปล่อยให้ชายหนุ่มเป็นคนจัดการแทนเองหมด ฝ่ายหญิงแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ไปเตรียมชุดกันให้พร้อม และรอเข้าพิธีอย่างเดียว
เดือนไฉไลดูตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอจะได้เข้าพิธีแต่งงาน เธอเคยแต่ไปงานของคนอื่น แต่นี่เธอจะได้กลายเป็นเจ้าสาวเสียเอง
เดือนไฉไลไปบอกเพื่อนๆของเธอทุกคนให้เตรียมตัวกัน เพราะอย่างที่เธอได้ลั่นวาจาไว้ เธออยากจะให้มีเพื่อนเจ้าสาวหลายๆคน เพื่อที่เธอจะได้เป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุด
ทุกคนเองก็พลอยตื่นเต้นยินดี อาสาว่าจะมาช่วยเธอในวันนั้นด้วย
เดือนไฉไลกลัวว่าเหมวันต์จะลืมเรื่องแหวนแต่งงาน จึงได้ฝากบอกบิดาไปให้เขาช่วยบอกเบอร์ขนาดแหวนของเธอด้วย เพราะเหมวันต์ต้องไม่รู้ไซส์นิ้วของเธอแน่
ความจริงเธออยากจะไปเลือกแหวนกับเหมวันต์ แต่เขาก็ไม่ยอมมาชวนเธอออกไปด้วยกันอีก ทำเหมือนกับว่าตั้งใจจะหลบหน้าเธอไปจนถึงวันแต่งงานกระนั้น
ชาติชายเองก็สั่งห้ามเธอไปหาเหมวันต์ โดยอ้างคำคนโบราณว่า ห้ามเจ้าบ่าวเจ้าสาวพบหน้ากันก่อนวันแต่งงาน เธอจึงได้แต่รออยู่อย่างใจเย็น
เธอไปลองชุดแต่งงานของเธอพร้อมแม่และน้องสาว โดยมีฟ้ารุ่งติดสอยห้อยตามไปด้วย เพราะเธอต้องการให้ฟ้ารุ่งช่วยถือของให้
ฟ้ารุ่งเองก็มีชุดที่จะต้องใช้ในวันนั้นด้วยเหมือนกัน เธอเองก็ต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาว ดังนั้นชาติชายจึงต้องออกเงินให้กับหญิงสาวด้วยอีกคน โดยไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น
ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเข้ารูปเข้ารอย จู่ๆวันหนึ่งก็มีแขกไม่ได้รับเชิญแวะมาที่บ้านของว่าที่เจ้าสาวตั้งแต่เช้า
ฟ้ารุ่งเป็นคนออกไปพบเข้าก่อน เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปีเห็นจะได้ เด็กคนนั้นมองเธอตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
“คุณสินะ? คนที่จะเป็นย่าของผมน่ะ?” เด็กหนุ่มถาม
“อะไรนะ?” ฟ้ารุ่งดูงุนงงไปหมด
รามิลยิ้ม แล้วยื่นมือให้เธอ
“ผม...รามิลครับ หลานของคุณปู่เหมวันต์ พ่อของผมเป็นลูกชายแท้ๆของคุณย่าชลิศาไงครับ”
ฟ้ารุ่งไม่ได้ยื่นมือไปจับด้วย
“คนที่จะเป็นย่าของเธอน่ะ คือฉันต่างหากล่ะ” จู่ๆเดือนไฉไลก็เดินนวยนาดเข้ามาในห้อง วางตนข่มท่านในทันที
รามิลจ้องเธอแทบไม่กระพริบตาทีเดียว
“คุณ...”
“เดือนไฉไล ฉันชื่อเดือนไฉไล เป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณเหมวันต์” เดือนไฉไลพูดด้วยท่าทางดูเหย่อหยิ่ง
“เดือนไฉไล?” รามิลขมวดคิ้ว เพราะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“ฟ้ารุ่ง เธอไม่ต้องมาเสนอหน้าหรอก ฉันจะเป็นคนพูดกับ‘หลาน’ของฉันเอง”
ฟ้ารุ่งหน้าซีดเล็กน้อย ก่อนจะรีบหมุนตัวออกจากห้องไป
รามิลหันไปมองตามหลัง ก่อนจะหันมามองเดือนไฉไลอีกครั้ง
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ชื่อฟ้ารุ่งงั้นเหรอ?”
“เวลาที่เธอจะพูดกับย่าของเธอ เธอควรจะมีคำว่า ‘ครับผม’ต่อท้ายด้วย” เดือนไฉไลพูดเหมือนสั่งสอน
รามิลนิ่งไปครู่
“‘ครับผม’” เขาพูดในที่สุด
“ดีมาก ว่าแต่เธอมีธุระอะไรกับย่ารึไง?” เดือนไฉไลทำทีถาม แล้วนั่งลงที่เก้าอี้
รามิลทำท่าจะนั่งตาม
“เดี๋ยว ฉันยังไม่ได้สั่งให้นั่ง”
เด็กหนุ่มชะงัก เขายืนจ้องหน้าเธอนิ่งอยู่
“เอาล่ะ นั่งลงได้”
เด็กหนุ่มเม้นปาก ก่อนจะนั่งลงตามที่เธอสั่ง
“ผมแค่จะมาทำความรู้จัก เอ๊ย จะมากราบเท้า‘คุณย่า’คนใหม่ของผมก็เท่านั้นเอง” รามิลบอกอย่างไม่ชอบใจนัก
“เธอลืมคำว่า‘ครับผม’อีกแล้วนะ” เดือนไฉไลพูด
รามิลอยากจะจับเธอหวดก้นแรงๆให้สาแก่ใจ ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นเจ้าสาวของเหมวันต์อยู่ล่ะก็
แต่รามิลก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเท่าที่เขารู้มา เจ้าสาวของเหมวันต์น่าจะชื่อฟ้ารุ่งต่างหาก
เขาไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่เขาก็ไม่อยากจะพูดกับเดือนไฉไลเท่าไหร่ จึงไม่ได้เอ่ยปากออกมา
เขาคิดว่าเก็บไว้ไปรอถามเหมวันต์ดูดีกว่า บางทีอาจมีเรื่องอะไรสนุกๆที่คาดไม่ถึงก็ได้
“เธออุตส่าห์แวะมาเพื่อกราบเท้าย่า งั้นย่าก็ควรจะต้องมีของรับขวัญให้ด้วยซีนะ” เดือนไฉไลพูดยิ้มๆอย่างวางตัวอยู่
รามิลนิ่ง เพราะไม่รู้ว่าเธอจะมาไม้ไหน
“ตอนนี้ฉันไม่ได้พกอะไรติดตัวมาก งั้นเอานี่ไปแล้วกันนะ” เดือนไฉไลถอดแหวนที่เธอใส่เล่นประจำให้กับเด็กหนุ่มไป
รามิลรับไปดู
ก็ยังดีที่ไม่ใช่ของเก๊
“ขอบคุณครับ คุณย่า ผมขอให้คุณย่าจงอายุมั่นขวัญยืน อยู่ให้ผมรับใช้นานๆนะครับผม” รามิลอวยพรให้
“ขอบใจ” เดือนไฉไลตอบ
“ถ้างั้นผมไม่อยู่รบกวนคุณย่าอีกแล้ว ลานะครับ”
รามิลยกมือไหว้เธอ
เดือนไฉไลเองก็รับไหว้ด้วยท่าทียังดูไว้มาดแบบคุณย่าอยู่เหมือนเดิม
จากนั้นเด็กหนุ่มก็รีบจากไปโดยเร็ว

“คุณเหมวันต์ คุณรามิลมารออยู่ข้างในได้สักพักแล้วครับ” ระเด่นรีบรายงานเจ้านายที่เพิ่งจะกลับถึงบ้าน
เหมวันต์เข้าใจ เขาเดินตรงไปยังห้องที่รามิลนั่งรออยู่
“หวัดดีฮะ คุณปู่” รามิลยกมือไหว้ ทั้งๆที่ไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยซ้ำ
“มีอะไรรึไง?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
“ก็ไม่มีอะไร คิดถึง ก็เลยมาเยี่ยม จริงๆผมเพิ่งแวะไปเยี่ยมว่าที่คุณย่ามา แต่คุณย่าของผมคนนี้ดูจะเฮี๊ยบน่าดู นี่ผมจะถูกไม้หวดก้นทุกครั้งที่ผมลืมล้างมือก่อนกินข้าวไหมเนี่ย?”
เหมวันต์ขมวดคิ้ว
“หมายถึงคุณเดือนไฉไลงั้นเหรอ?”
“อ้าว! แล้วคิดว่าคุณย่าของผมเป็นใครกันล่ะ?” รามิลถามขันๆอยู่ไม่น้อย
แต่เหมวันต์ไม่ได้ขันตามไปด้วย
“ยายเดือนไฉไลนั่นบอกว่า เขาเป็นคนที่จะแต่งงานกับคุณปู่ แต่ที่ผมได้ยินมา มันไม่ใช่แบบนั้นนี่นา ตกลงเจ้าสาวคุณปู่เป็นใครกันแน่ครับ? ผมงงไปหมดแล้วนะเนี่ย?”
เหมวันต์ยิ้มตรงมุมปากนิดๆ
“เอาเป็นว่า ถึงวันแต่งแล้ว แกก็จะรู้เองแหละ แต่แกคงไม่ได้ไปพูดอะไรกับคุณเดือนไฉไลใช่ไหม?” ชายหนุ่มเกรงว่า รามิลจะไปทำให้เธอรู้ตัวเข้าเสียก่อน
“เปล่าเลย แค่พูดคำ ก็ต้องมี‘ครับผม’ต่อท้าย ผมเลยขี้เกียจพูดด้วย มาถามคุณปู่เองยังดีกว่า”
เหมวันต์โล่งอก
“แต่คุณย่าผมเองก็ใจป้ำเหมือนกัน อุตส่าห์ให้แหวนผมมาวงเป็นของรับขวัญ ถึงจะไม่ใช่แหวนราคาแพงก็เถอะ”
เหมวันต์ขมวดคิ้วทันที
“ไหนล่ะ? แหวน?”
รามิลล้วงกระเป๋าส่งให้เขา
“เอาไว้ฉันจะเอาไปคืนให้เขาเอง ต่อไปแกก็ห้ามไปรับของจากเขาอีกนะ”
รามิลแปลกใจมาก
“อ้อ งั้นเขาก็ไม่ใช่คุณย่าที่แท้จริงของผมซีนะ”
เหมวันต์ยังไม่อยากจะบอกความจริงตอนนี้
“จะไม่บอกกันจริงๆหรือครับ?” รามิลถาม
“ถึงวันนั้นแกก็รู้เองแหละน่า”
“เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้กะจะมาซักไซร้ไล่เลียง แต่จะมาขออยู่ด้วยสักพัก”
เหมวันต์ชะงัก
“มาอยู่กับฉันเนี่ยนะ?” เขาคิดว่าหูฝาด
“ตอนนี้ผมถังแตก รถก็โดนยึดไปแล้วด้วย”
“แล้วแกมาได้ยังไง?” เหมวันต์สงสัย
“ผมก็จ้างรถมาน่ะซี”
“แล้วมีเงินเหรอ?”
“ไม่มีหรอก เลยขอยืมเงินนายระเด่นมนตรีซะ”
เหมวันต์กรอกตา คิดว่าต้องรีบคืนเงินให้ระเด่น
“แกชอบก่อเรื่องให้ฉันปวดหัวเรื่อย”
“ผมคงจะเกิดมาเพื่อแก้แค้นแทนคุณย่าชลิศาล่ะมั้ง”
ชายหนุ่มจ้องหน้า
“หมายความว่ายังไง?”
เด็กหนุ่มกลับยักไหล่
“ผมก็พูดไปงั้นแหละ อย่าสนใจเลย”
แต่เหมวันต์ไม่สบายใจ
“แกคิดอะไรอยู่กันแน่? บอกฉันหน่อยได้ไหม?”
“ผมก็แค่คิดว่า ถ้าคุณปู่ไม่กินยาอมตะเข้าไป ป่านนี้ก็คงเป็นแค่คนแก่ๆรอวันตาย หรือดีไม่ดีอาจตายไปแล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นบ้านนี้ก็จะเป็นของผม แล้วผมก็ไม่ต้องจนตรอกแบบนี้”
เหมวันต์อึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะกล้าพูดออกมาขนาดนี้
“ที่พูดออกมาได้แบบนี้ ก็แสดงว่า...คงจะเริ่มปลงใจได้บ้างแล้วซีนะ?”
“ไม่ปลงได้ไงครับ ก็คุณปู่กำลังจะแต่งงาน อีกหน่อยก็คงจะมีลูกหลานของตัวเอง ผมก็ต้องหมดสิทธิ์ไปเองอยู่ดี”
เหมวันต์รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มอยู่เหมือนกัน
“ถ้าผมอยากจะได้มรดกของคุณปู่ คงจะต้องฉวยโอกาสกำจัดคุณปู่เสียแต่ตอนนี้”
เหมวันต์เลิกคิ้ว
“เพราะงั้นคุณปู่ระวังตัวไว้ด้วย อย่าเผลอก็แล้วกัน ผมเอาจริงนะ คราวนี้” รามิลยิ้ม ท่าทางไม่เหมือนคนพูดเล่น
เหมวันต์ยิ้ม
“ขอบใจที่เตือน ฉันจะระวังตัวเอาไว้”
“แล้วคุณปู่รู้งี้แล้ว ยังจะกล้าให้ที่พักพิงผมอีกหรือเปล่าล่ะ?” รามิลถาม
“ให้สิ ไงๆแกก็หลานฉันนี่ อยากพักจนถึงเมื่อไหร่ก็ตามใจ ชอบห้องไหนก็เลือกเอา”
“ขอบคุณครับผม” รามิลพูด

“เมื่อกี้คุณว่าไงนะ?” ดาราตกใจจนหน้าซีด
“ก็อย่างที่ผมบอกไปไง คนที่จะแต่งงานกับคุณเหมวันต์ในวันพรุ่งนี้ไม่ใช่ยายเดือน แต่เป็นฟ้ารุ่งต่างหาก” ชาติชายบอกกับภรรยาของเขาในคืนนั้นเอง
“แต่...มันจะเป็นไปได้ยังไงกันคะ? ก็ไหนว่า...” ดาราชะงัก เมื่อคิดได้ว่า สามีของเธอไม่เคยพูดสักคำว่า เหมวันต์ขอเดือนไฉไลแต่งงาน เขาบอกเพียงว่าชายหนุ่มมาขอ‘ลูกสาว’กับเขาเท่านั้น
“คุณเหมวันต์เขามาสู่ขอฟ้ารุ่ง เพราะงั้นพรุ่งนี้เราจะต้องเป็นเจ้าภาพฝ่ายหญิงให้ยายฟ้า คุณจะต้องทำหน้าที่เป็นแม่ของยายฟ้าด้วย แค่วันเดียวเท่านั้นแหละ ถือว่าทำบุญกุศลปล่อยลูกนกลูกกาไปก็ได้” ชาติชายบอก
“แต่ทำไมคุณต้องทำให้พวกเราเข้าใจผิด คิดว่าเขามาสู่ขอยายเดือน แล้วแบบนี้ยายเดือนของเราจะเอาหน้าไปไว้ไหน” ดาราดูจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“จะเอาไปไว้ไหนก็ช่าง คุณเหมวันต์เขาเลือกยายฟ้านะ ไม่ใช่ยายเดือน จะให้เราไปบังคับให้เขาแต่งงานกับยายเดือนได้ไง คุณไม่อยากจะได้สูตรยาอมตะแล้วรึไง? ไหนว่าคุณอยากจะเป็นสาวสองพันปีนักไม่ใช่เหรอ?”
ดารานิ่งอึ้ง ใจจริงก็ยังอยากเป็นสาวสองพันปีอยู่ แต่เดือนไฉไลเองก็เป็นลูกสาวแท้ๆของเธอ
“ถ้าคุณรักลูกมากขนาดนั้นล่ะก็ งั้นคุณก็รีบไปบอกกับยายเดือนให้รู้ตัวตอนนี้เลย แล้วคุณก็อย่าหวังว่า จะได้เป็นสาวสองพันปีอีกเลย ผมขอเป็นอมตะแค่คนเดียวก็พอ” ชาติชายพูดเสียงเฉียบ ไม่สนใจภรรยาอีก
เขารีบกลับไปเข้านอน เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้าอีก
ดาราถึงกับพูดไม่ออก เธอพยายามชั่งใจดูว่า ระหว่างการได้เป็นสาวสองพันปี กับการทำให้ลูกสาวเสียใจนั้น เธอน่าจะเลือกอย่างไหนมากกว่ากัน
ไม่ว่ายังไงเดือนไฉไลก็ไม่มีทางได้แต่งงานกับเหมวันต์อยู่แล้ว ถึงพูดไปตอนนี้ก็คงไม่เกิดประโยชน์
สู้อดทนรอเป็นสาวสองพันปีดีกว่า อีกหน่อยเดือนไฉไลก็คงจะทำใจได้ สักวันก็อาจจะได้เจอผู้ชายที่ดีกว่านายเหมวันต์ก็ได้
คิดแล้วดาราก็ตัดสินใจเด็ดขาด แม้จะทำให้เดือนไฉไลต้องอับอายบ้าง แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว

ละด้วยเหตุนี้ ดาราจึงไปปลุกฟ้ารุ่งแต่เช้ามืด และจับตัวมาอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้ดูสมกับเป็นเจ้าสาว แทนที่จะไปช่วยแต่งตัวให้กับเดือนไฉไล
และพอช่างแต่งหน้ามา เธอก็เรียกให้เข้าไปในห้องของฟ้ารุ่งแทน ซึ่งกำหนดการเดิมควรจะต้องไปแต่งหน้าให้กับเดือนไฉไลก่อน แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปหมดแล้ว
ฟ้ารุ่งดูงุนงงอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เธอคิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงต้องถูกใช้ให้ไปช่วยเดือนไฉไลแต่งตัว
ส่วนเดือนไฉไลที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนั้น ก็สวมชุดเจ้าสาวงามพิศุทธิ์ โดยมีน้องสาวและเพื่อนๆมาช่วย ไม่มีใครทันเฉลียวใจที่ดาราหายหน้าไป ไม่มาดูแลลูกสาวเลย ทั้งๆที่เป็นงานของผู้ที่เป็นแม่แท้ๆ
พอขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวมาถึง เจ้าสาวและบรรดาเพื่อนเจ้าสาวก็พากันตื่นเต้นกันยกใหญ่
“พวกฉันออกไปก่อนนะ เดือน ห้ามออกจากห้องเป็นอันขาด เข้าใจนะ?” เพื่อนคนหนึ่งรีบบอกกับเธอ
“รู้แล้วน่า” เดือนไฉไลตอบยิ้มๆ
คนอื่นๆจึงออกจากห้อง ทิ้งดาวฉายอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวกันตามลำพัง

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป