หน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 11
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๑๐…

มลชนกถึงกับอ้ำอึ้ง
“เพราะงั้นเธออย่าเพิ่งดีใจไปเชียวล่ะ คิดว่าจะได้โผกลับสู่อ้อมอกหมอนั่นอีกครั้ง ตราบใดที่เธอยังได้ชื่อว่าเป็นเมียที่ถูกต้องของฉัน ไอ้ภูสันต์มันก็คงไม่มีปัญญาจะทำอะไร ถึงมันจะรักเธอแค่ไหน แต่มันก็กลัวเสียหน้า กลัวจะเสียฟอร์ม มันต้องกลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้ ต้องมากลืนเสลดที่คนอื่นคายทิ้งไว้ในกระโถนตัวเอง รับเอาเมียเก่าที่โดนชายชู้ไม่เอาแล้วไว้เอง แถมชายชู้นั่นก็เป็นเพื่อนของมัน แบบนี้มันจะต้องอับอายขายหน้าเพื่อนฝูง และเจ้าพวกลูกน้องของมันทั้งหมดก็จะพลอยเสื่อมศรัทธาไปด้วย จะไม่มีใครนับถือมันอีกต่อไป แล้วแบบนี้มันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมอีก สู้ตายไปยังจะดีกว่า เธออยากจะเห็นมันล้มเหลวเพราะเธอแบบนั้นอีกครั้งนักก็ตามใจสิ ว่าแต่ไอ้ภูสันต์จะกล้าพอที่จะยอมทุบหม้อข้าวตัวเองทั้งๆที่รู้เพื่อเธอหรือเปล่า ฉันเองก็สุดจะเดาเหมือนกัน บางทีมันก็ชอบทำเรื่องที่คนอื่นคาดไม่ถึง”
กมลชนกรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมา
“แม่ อย่าเป็นอะไรนะคะ” ภูริศาร้องอย่างตกใจ ที่เห็นเธอมีอาการเช่นนั้น
“แค่นี้ก็ทนฟังไม่ได้ แสดงว่าคงคิดจริงๆล่ะซีว่าตัวเองยังพอจะมีทางหวนกลับไปหามันได้อีกจริงๆ เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้จริงๆ เธอไม่เคยลืมหมอนั่นสักวินาทีเดียว ถึงเธอจะเป็นเมียฉัน แต่ใจเธอก็ยังเฝ้าถวิลหาอาลัยอาวรณ์มันอยู่ไม่สร่างซา คงอยากจะกลับไปหามันเต็มแก่แล้วซีนะ แต่ที่เธอไม่ไปซะที ก็เป็นเพราะเธอกลัวจะโดนไอ้ภูสันต์มันไล่ตะเพิดกลับมา เมื่อไม่มีที่ไป เธอก็เลยหันมายึดฉันไว้เป็นที่พึ่ง ทำตัวเป็นเมียที่ซื่อสัตย์ เพื่อชดเชยกับอดีตที่เคยหลงทำความผิดเอาไว้กับสามีเก่าตัวเอง”
“ไม่จริง!” หญิงสาวสะอื้นไห้ น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย
“แก...แกกล้าทำแม่ฉันร้องไห้เหรอ?” ภูริศาเงื้อมมือไป ทำท่าจะฟาดชายหนุ่ม
วรงค์คว้ามือเล็กๆนั้นด้วยสายตาดุดัน
“อย่า!” กมลชนกรีบยุดมือของเขาไว้
“ถ้าไม่คิดว่า แกอาจเป็นลูกฉันเองก็ได้ ฉันจะหักคอแกซะตรงนี้เลย” วรงค์ตะคอกใส่
กมลชนกดึงร่างลูกสาวมากอดแน่น ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน
“แม่ อย่าร้องไห้นะ” ภูริศาพลอยร้องไห้ตาม
“แม่ไม่เป็นไร” กมลชนกบอกเธอ
วรงค์ปรายตามองสองแม่ลูก
“ทำตัวให้มันว่าง่ายๆหน่อย เผื่อว่าฉันจะใจอ่อนสงสารขึ้นมาก็ได้ ฉันก็ไม่ได้ถึงกับจะใจไม้ไส้ระกำ ถ้าพวกแกทำตัวดีๆ ฉันอาจจะรับเลี้ยงดูเอาไว้เสียเองก็ได้ ถึงต่อให้เด็กนี่จะไม่ใช่ลูกฉันจริง แต่ฉันก็ถือว่าเป็นพ่อเลี้ยงของมัน”
“คิดว่าพวกฉันจะเชื่อแกรึไง?” ภูริศาพูดเสียงกร้าว
วรงค์ทำตาลุกวาว
“ฉันอุตส่าห์เตือนแกแล้วนะ ทำไมแกถึงได้ปากจัดอย่างงี้ อยากถูกตบให้ฟันร่วงหมดปากรึไง”
“เอาซี ฉันจะบอกให้คุณพ่อลากแกไปเข้าตะราง”
“ไอ้เด็กห่า!” วรงค์เงื้อมมือเพื่อตบฉาด
กมลชนกร้องกรี๊ด เมื่อร่างของลูกสาวกระเด็นไปตามแรงลงไปนอนหมดสติกับพื้นแทบเท้าตัวเอง
คนขับรถแท็กซี่เบรครถกึก
“หยุดรถทำไม?” วรงค์ถามห้วนๆ
“ทำไมคุณถึงทำกับเด็กแบบนี้? ผมทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้วนะ” คนขับแท็กซี่พูด
“ทนดูไม่ไหวแล้วทำไม?”
“ผมจะไปแจ้งความน่ะซี”
“แกอยากตายนักรึไง?”
คนขับรถแท็กซี่รีบเปิดประตูรถออกมาโดยเร็วที่สุด
วรงค์เองก็รีบเปิดประตู และวิ่งไล่กวดเต็มที่
กมลชนกตกใจมาก รีบอุ้มลูกขึ้นมากอดเอาไว้แน่นด้วยความกลัวไปหมด
เธอเห็นสามีของเธอไล่ไปจนทัน แล้วสองคนก็เกิดการต่อสู้ขึ้น แต่สุดท้ายคนขับรถแท็กซี่ก็โดนวรงค์บีบคอจนแน่นิ่ง
วรงค์ลากร่างนั้นไปโยนไกลๆแถวหลังพุ่มไม้ เพื่อไม่ให้มีใครมาเห็นง่ายๆ
จากนั้นเขาก็เดินกลับมาขึ้นรถประจำที่คนขับเอง
“คุณฆ่าเขา!” กมลชนกกล่าวหา
“อย่าทำเป็นตกใจให้มันเกินไปนัก แค่ทำให้หมดสติเท่านั้น ยังไม่ตายหรอก” วรงค์พูดห้วนๆ
กมลชนกจึงได้แต่นิ่ง
เขารีบบึ่งรถหนีจากไปโดยเร็ว
“นี่คุณจะไปไหน?” กมลชนกถาม
“ผมจะเปลี่ยนเส้นทาง เกิดไอ้บ้านั่นมันฟื้นขึ้นมา มันก็คงรีบไปแจ้งความ และบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่ พวกตำรวจจะต้องแห่ไปตั้งด่านรอจับเราอยู่แน่ๆ ก็ดีเหมือนกัน เท่ากับมันช่วยให้เรารอดตัวไปได้ด้วย”
“ฉันว่าเรากลับรถไปกรุงเทพฯดีกว่า แล้วก็คืนลูกไปให้คุณภูสันต์เหมือนเดิม” กมลชนกบอกกับเขา
“คุณจะบ้ารึไง? เราอุตส่าห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงขนาดนี้ ไหนว่าอยากจะอยู่กับลูกมากไม่ใช่หรือ? คุณไม่ใช่หรือที่เป็นคนร้องห่มร้องไห้บ่นว่าอยากจะเจอลูก ทำให้ผมต้องไปขโมยลูกมา”
“ก็ฉันไม่รู้นี่ ว่าคุณจะรังเกียจลูกขนาดนี้ ถ้าแบบนั้นสู้ปล่อยให้แกไปอยู่กับคุณภูสันต์ยังดีกว่า”
“เรื่องอะไรล่ะ? เกิดเด็กนี่เป็นลูกผมจริงๆ ผมจะยอมให้คนอื่นเอาลูกผมไปเลี้ยงได้ไงกัน โดยเฉพาะไอ้ภูสันต์ ผมไม่ยอมเด็ดขาด”
“แต่คุณก็ไม่ได้รักแกนี่”
“ถ้าแกไม่ดื้อกับผม ผมก็อาจรักแกทีหลังก็ได้ อ้อ หรือที่พูดมานี่...เพราะอยากจะกลับไปหาไอ้ภูสันต์ซีนะ เลยคิดจะหาข้ออ้าง แต่เสียเวลาเปล่าน่า เพราะผมไม่หย่ากับคุณหรอก”
หญิงสาวดูงุนงงไปหมด
“ก็ไหนคุณว่า ถ้าคุณพิสูจน์แล้วว่า เด็กไม่ใช่ลูกของคุณ คุณก็จะหย่ากับฉันไงคะ”
“ผมก็พูดไปงั้น แต่ใครจะไปยอมหย่าให้โง่ ให้ไอ้ภูสันต์มันหัวเราะเยาะผมเอาทีหลัง เดี๋ยวผมจะกลายเป็นแค่ไอ้บ้าพอดี ถ้าเด็กเป็นลูกของไอ้ภูสันต์ มันก็คงจะหาทางตามมาเอาตัวลูกมันคืนไปจนได้ แล้วผมจะได้อะไรล่ะ นอกจากความงี่เง่าเต่าตุ่นเท่านั้น แบบนี้ผมสู้เก็บคุณเอาไว้ดีกว่า เรื่องอะไรจะให้มันสบายคนเดียว ได้ทั้งเมียและลูกกลับคืนพร้อมหน้าพร้อมตา ฝันไปเถอะ”
“ทำไมคุณถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้?” กมลชนกไม่เข้าใจ
“คุณก็ลองมาเป็นผมดูบ้างซี ถูกพวกคุณสามคนช่วยกันรุมปั่นหัวเล่น ไอ้ภูสันต์...ทั้งๆที่เรียนจบมาพร้อมๆกัน คะแนนผมยังดีกว่า แต่มันกลับตั้งตัวได้ก่อนผม ก็เพราะมันแค่โชคดีเท่านั้นเอง ไม่ใช่เพราะมันเก่งกาจอะไรเสียหน่อย คุณเองทั้งๆที่เป็นเมียแท้ๆ แต่ในใจกลับเฝ้าแต่คิดถึงอดีตสามี ไม่เคยคิดว่าผมเป็นผัวคุณจริงๆ ส่วนนังเด็กระยำก็มาด่าผมปาวๆ ทำเหมือนเห็นผมเป็นหมาขี้เรื้อน ทั้งๆที่ผมอาจเป็นพ่อมันเองก็ได้ กลับไปยกย่องเชิดชูแต่ไอ้ภูสันต์ ไม่คิดเห็นผมอยู่ในสายตาเลยสักนิด พวกคุณสามคนทำผมแสบดีนักนะ งั้นผมก็จะทำให้พวกคุณไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอีก”
กมลชนกได้แต่อ้ำอึ้งไป
“ตอนนี้คุณยังเป็นเมียผมอยู่ ก็ควรทำหน้าที่เมียให้ดีๆ ไม่ใช่ไปเข้าข้างไอ้ภูสันต์ คิดจะสวมเขาให้กันรึไง ชอบนักรึ ได้เปลี่ยนผัวสลับกันไปสลับกันมา เมื่อวานผัวเก่า วันนี้ผัวใหม่ พรุ่งนี้ก็กลับไปหาผัวเก่าอีก เหมือนนางวันทองไม่มีผิด”
หญิงสาวหน้าซีดเผือด
“วางใจเถอะค่ะ ฉันไม่กลับไปหาเขาหรอก เพราะงั้นคุณก็เลิกแขวะกันเสียทีเถอะ”
“ที่พูดนั่นน่ะ...จริงเรอะ?” วรงค์ดูจะยังไม่ยอมเชื่อ
“ก็อย่างที่คุณพูด ฉันเป็นภรรยาของคุณอยู่ และตราบใดที่ฉันยังเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณ ฉันก็จะไม่กลับไปหาเขาอีกแน่”
“งั้นก็ดี คุณเองก็จำคำพูดนี้ให้แม่นๆล่ะ แล้วช่วยเก็บไปบอกไอ้ภูสันต์ให้มันรู้ตัวด้วย มันจะได้รีบตัดใจจากคุณซะ และถ้ามันแต่งงานไปได้เมื่อไหร่ ผมจะโมทนาสาธุให้”
กมลชนกไม่ยอมตอบ
หญิงสาวไม่คิดว่าวรงค์พูดไปเพราะความหึงหวง แต่น่าจะเป็นเพราะความริษยาที่มีต่อภูสันต์มากกว่า
วรงค์ยังคงขับรถมุ่งหน้าต่อไป จนเวลาผ่านไปอีกราวเกือบสองชั่วโมง เมื่อเขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง
กมลชนกหันไปมองรอบๆอย่างงุนงงไปหมด
“นี่บ้านใครคะ?” หญิงสาวไม่เข้าใจ เพราะเท่าที่ทราบสามีเธอไม่น่าจะมีบ้านอีกหลังได้
“เป็นบ้านพักตากอากาศของลูกค้ารายหนึ่ง เมื่อก่อนผมเคยมาช่วยเขาตกแต่งภายในให้ ผมจึงมีกุญแจสำรองอยู่” วรงค์ตอบ และลงมาเปิดท้ายรถเพื่อหยิบกระเป๋าเดินทางออกมาวางบนพื้น
กมลชนกยังลังเลอยู่ จนวรงค์หันมานิ่วหน้า หญิงสาวจึงค่อยอุ้มภูริศาออกจากรถ
แต่ขณะนั้นเอง ทั้งสองก็เห็นมือถือเครื่องหนึ่งหล่นตุ๊บลงไปบนพื้นจากตัวเด็กหญิง
“นี่อะไร?” วรงค์หยิบมือถือขึ้นมาดู
กมลชนกเองก็พลอยงุนงง
“โทรศัพท์มือถือของใคร ทำไมหล่นมาอยู่ตรงนี้?”
“สงสัยจะเป็นของผู้โดยสารก่อนหน้านี้ลืมทิ้งไว้มั้งคะ” กมลชนกรีบบอก
วรงค์ก็คิดเช่นนั้น เขาจึงปิดเครื่องลงเสีย เพราะขี้เกียจรับสายของคนไม่รู้จัก

"แย่แล้ว สัญญาณถูกปิดไปแล้วครับ” นายตำรวจคนหนึ่งหันมาบอกกับทุกคน
ต่างก็มีสีหน้าดูตกใจยิ่ง
“พวกคุณหาทางทำอะไรสักอย่างได้ไหมครับ? ผมเป็นห่วงลูกหนู ไม่รู้วรงค์มันจะทำอะไรอีกบ้าง” ภูสันต์กล่าวอย่างร้อนใจมาก
“เป็นความผิดของฉันเอง ถ้าฉันไม่พาแกไปส่งมอบให้กับสองผัวเมียคู่นั้น เด็กก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ฉันผิดเอง” มนสิกานต์รู้สึกเสียใจมากจนต้องร้องไห้คร่ำครวญออกมา
นายพลมนูญไม่รู้จะปลอบเธออย่างไร
“ใจเย็นก่อนครับ” นายตำรวจคนหนึ่งรีบบอก “เดี๋ยวผมจะแจ้งให้คนไปตรวจสอบหาบ้านพักตากอากาศที่นายวรงค์นำเด็กไปซ่อนไว้ ถ้าลองไปตรวจสอบที่ทำงานของเขาดู น่าจะได้เบาะแสอะไรบ้าง และยิ่งถ้าเราตามตัวคนขับรถแท็กซี่ที่ถูกเขาทำร้ายเจอ เราก็จะรู้ตำแหน่งเส้นทางที่พวกเขาใช้หลบหนีได้”
“งั้นรีบหน่อยนะครับ” ภูสันต์รีบบอก
นายตำรวจคนนั้นพยักหน้า แล้วจึงได้ส่งข่าววิทยุไปขอความร่วมมือจากเพื่อนตำรวจด้วยกัน
กรรชัยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“นายภู ถ้าเกิดไอ้วรงค์มันฉุกใจขึ้นมา และตรวจสอบมือถือ พบว่ามีเบอร์ที่บ้านอยู่ คุณหนูอาจไม่ปลอดภัยก็ได้”
เขาไม่อยากทำให้ชายหนุ่มตกใจ แต่ก็จำเป็นต้องพูด
ภูสันต์จ้องเขาด้วยความตกใจมากจริงๆ
“คุณตำรวจ!?” เขาหันขวับไป
“ใจเย็นเถอะครับ พวกเราเองก็พยายามเต็มที่อยู่แล้วล่ะครับ” มีคนบอกกับเขา
แต่ภูสันต์รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

"ไอ้เด็กเวรนี่!” วรงค์เดือดจัด เพราะเขาตรวจสอบเครื่องมือถือแล้วพบว่า เป็นของเด็กหญิงเอง
“อย่านะ” กมลชนกรีบปกป้องลูกโดยเร็ว เธอทำท่ายกสองแขนกางกั้นไม่ให้เขาเข้ามาทำร้ายลูกของเธอได้
“คุณยังจะไปปกป้องมันอีก มันจะพาพวกเราสองคนเข้าตะรางอยู่แล้วนะ” วรงค์พูดอย่างไม่หายโมโห
“แต่ลูกอาจไม่ได้ติดต่อใคร ฉันไม่เห็นแกจะใช้มือถือเลยนี่ คุณเองก็เห็น” กมลชนกพูดอย่างเข้าข้างลูกเต็มที่
วรงค์นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
“แกโทรกลับไปที่บ้านขอให้ใครช่วยหรือเปล่า?” วรงค์ซักเด็ก
“เปล่า พวกแกก็เห็นแล้ว ฉันมีเวลาโทรไปตอนไหนกันล่ะ ฉันอยู่กับพวกแกมาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ?” ภูริศารีบพูดเร็วเช่นกัน เพราะกลัววรงค์จนบอกไม่ถูก
ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดหนัก
“จะยังไงก็เถอะ เรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า ผมชักไม่ค่อยจะไว้ใจสถานการณ์นี้เสียแล้ว คุณรีบอุ้มเด็กไปขึ้นรถเร็ว ผมจะขนกระเป๋าไปเอง” วรงค์สั่งการ
กมลชนกจำต้องทำตามที่สามีสั่ง อุ้มภูริศาไปขึ้นรถ
วรงค์เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าใส่ท้ายรถ ไม่แค่นั้น เขายังถอดป้ายทะเบียนรถ และเอาป้ายเครื่องหมายการค้าบนหลังคาลงมาเก็บไว้ใส่ลงท้ายรถไปด้วย
จากนั้นเขาก็รีบมาขึ้นรถ ขับเลี้ยวออกไปอีกทาง

ดังนั้น เมื่อตำรวจกลุ่มหนึ่งมาถึงก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า
พวกเขาติดต่อกลับไปยังบ้านของภูสันต์ เพื่อแจ้งข่าวไม่สู้ดีนี้ให้กับเจ้าของบ้านรับทราบ
ภูสันต์ถึงกับนิ่งเงียบไป เกศราที่นั่งอยู่ข้างกายเขา จำต้องยื่นมือออกไปแตะแขนของเขา ชายหนุ่มจึงรู้สึกตัว
“ลูกหนูอายุเพิ่งแค่ห้าขวบเองนะ ทำไมต้องให้มาเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย?” ภูสันต์หันมาตั้งคำถามกับเธอ
เกศราไม่รู้จะตอบอย่างไร
“วรงค์มันคงจะรู้ตัวแล้ว ถึงได้รีบย้ายหนี แบบนี้ลูกหนูจะเป็นยังไง”
“แต่คุณกมลชนกคอยปกป้องอยู่ ฉันคิดว่าคงไม่เป็นไร แม่ลูกย่อมรู้สึกผูกพัน” เกศราพูดอย่างคนที่มีหัวอกเป็นแม่
“ถ้าตอนแรกฉันไม่คิดไปแย่งลูกเขามา วันนี้พวกเขาคงไม่มาขโมยลูกคืน” ชายหนุ่มพูดเหมือนกับสำนึกเสียใจอยู่
“นายภูอย่าคิดมากไปเลย”
“จะไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง ทั้งๆที่ลูกหนูกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ฉันทำได้แค่นั่งรอฟังข่าวอยู่เฉยๆ” ภูสันต์พูดด้วยความเจ็บปวดใจยิ่งนัก
“คุณหนูรักนายภู พ่อของแกมีคนเดียวก็คือนายภู สายใยพ่อลูกตัดกันไม่ขาดหรอกค่ะ”
ภูสันต์พยักหน้า เขาเหลือบไปเห็นสายตาของท่านนายพลและลูกสาวที่มองมาก็ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้
“จริงสิ ใกล้เที่ยงแล้วนี่ เกศราไปหาอะไรมาให้ทุกคนได้รับประทานรองท้องกันหน่อยดีกว่านะ” เขาออกคำสั่งกับเธอ เพราะคิดว่าทุกคนคงจะเหนื่อยกันมากแล้ว
เกศราจึงรีบไปจัดการตามที่เขาสั่ง

"แม่...ลูกหนูหิวข้าว” ภูริศาบอกมารดา
กมลชนกจึงหันไปมองสามีของเธอ
“เออ...อดทนหน่อย เดี๋ยวฉันจะขับไปจอดแถวๆตลาดให้เอง” วรงค์บอกอย่างไม่มีทางเลือก
วรงค์ขับรถไปจอดในตลาดแห่งหนึ่ง
“เดี๋ยวคุณก็ลงไปซื้ออะไรก็ได้มาแล้วกัน” วรงค์ล้วงเงินจากกระเป๋าเสื้อ และทำท่ายื่นส่งให้กับเธอ
“ทำไมต้องใช้แม่ไปด้วย? แกไปเองสิ” ภูริศาสั่ง
“วะ ก็ฉันต้องเฝ้าดูแก ไม่ให้แกคิดหลบหนีน่ะซี”
“ให้แม่เฝ้าก็ได้นี่ ฉันไม่อยากอยู่กับแกตามลำพัง”
วรงค์ทำท่ารำคาญ
“คุณเฝ้านังเด็กนี่ให้ดีล่ะ และอย่าคิดเล่นตลกเป็นอันขาด อย่าลืมว่าคุณเองก็มีความผิดพอๆกับผม ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด”
พูดแล้วเขาจึงเปิดประตูรถลงไป
ภูริศาได้โอกาสก็รีบหันมาหามารดาของเธอ
“แม่คะ เราหาทางหลบหนีกันเถอะค่ะ กลับไปขอให้คุณพ่อช่วย รับรองว่าคุณพ่อต้องช่วยจัดการให้แม่เลิกกับไอ้คนเฮงซวยนั่นได้แน่ๆ” ภูริศาพูดอย่างมั่นใจว่าต้องทำเช่นนั้นได้
กมลชนกส่ายหน้า
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก แม่จะหักหลังเขาได้ยังไง เขาเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของแม่นะ”
“แล้วแม่อยากเห็นลูกหนูต้องถูกเขาฆ่าตายสักวันหรือคะ? แม่ไม่รักลูกหนูหรือคะ?” ภูริศาถามมารดาด้วยท่าทางชวนสงสาร
กมลชนกอึ้งไปครู่
“แล้วลูกจะให้แม่ทำยังไง? คุณวรงค์เขาคอยเฝ้าจับตาดูเราอยู่ ตอนนี้เขาเองก็ไม่ค่อยไว้ใจแม่เสียด้วย แม่เกรงว่าจะช่วยอะไรลูกไม่ได้”
“แม่มีมือถือหรือเปล่าคะ?” ภูริศาถาม
กมลชนกส่ายหน้าอีก
“ไม่มีจ้ะ”
ภูริศาทำหน้าหนักใจเล็กน้อย
“งั้นเราก็ต้องหาทางเอามือถือของหนูกลับคืนมาจากผู้ชายคนนั้นให้ได้ แล้วจากนั้นเราก็ค่อยโทรติดต่อหาคุณพ่อ ตอนนี้คุณพ่อกำลังรอการติดต่อจากพวกเราอยู่ ลูกหนูคุยกับคุณพ่อกับคุณอาตำรวจแล้ว พวกเขาบอกว่าจะช่วยพวกเราให้ได้ ขอแค่เราบอกให้เขารู้ได้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน แล้วพวกคุณพ่อกับคุณอาตำรวจก็จะตามมาช่วยเราออกไปเอง”
“ว่าไงนะ?” กมลชนกตกใจจนหน้าซีด
“ลูกหนูพูดจริงๆค่ะ ลูกหนูแอบติดต่ออยู่กับคุณพ่อและคุณอาตำรวจผ่านทางมือถือ พวกเขาต้องได้ยินเรื่องที่เราคุยกันทั้งหมด คุณพ่อเองก็ต้องได้ยินเหมือนกัน เพราะงั้นป่านนี้คุณพ่อคงจะเข้าใจแม่แล้ว และต้องยกโทษให้แน่ๆ นะคะ กลับไปด้วยกันกับพวกเราเถอะค่ะ ลูกหนูอยากมีทั้งพ่อและแม่อยู่พร้อมหน้าเหมือนคนอื่นบ้าง”
“แต่...”
“แม่จะปล่อยให้ลูกหนูถูกเขาทำร้ายอีกใช่ไหมคะ? แม่ก็เห็น เขาร้ายกาจกับลูกหนูขนาดไหน สักวันลูกหนูคงต้องตายคามือเขาแน่ หากแม่ยังไม่รีบทำอะไรสักอย่าง”
กมลชนกได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าคงไม่มีทางเลือก ถึงเธอจะเป็นภรรยาของวรงค์ แต่เธอก็เป็นแม่ของเด็กคนนี้เหมือนกัน เธอจะปล่อยให้ลูกตายไม่ได้เด็ดขาด
วรงค์กลับมาขึ้นรถพร้อมกับถุงใส่กับข้าวมาด้วย เขาส่งให้กับภรรยาเป็นคนถือ ก่อนจะขับรถจากไป
พอเจอสถานที่เหมาะๆแล้ว เขาก็จอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และจัดหาที่นั่งให้พร้อม ทั้งสามคนจึงได้มานั่งล้อมวงกัน เพื่อรับประทานอาหารมื้อเที่ยงร่วมกัน
ภูริศาเห็นผัดไทก็ร้องยี้ ทำให้สองหนุ่มสาวต้องหันมามอง
“นี่เอาอะไรมาให้ฉันกินเนี่ย ไม่มีของที่มันน่ากินกว่านี้แล้วงั้นเหรอ?” เด็กหญิงดูไม่ชอบใจอยู่
วรงค์จึงทำยิ้มเย้ยที่มุมปาก
“ถ้ากินไม่ลง จะทิ้งก็ได้ แต่แกก็ต้องทนหิวไปจนถึงตอนเย็น จะเอาแบบนั้นไหมล่ะ?”
ภูริศาจ้องเขาอย่างโมโห
“ทานหน่อยเถอะลูก ลูกหิวมากไม่ใช่เหรอ?” กมลชนกคะยั้นคะยอ
ภูริศาไม่มีทางเลือก เธอจึงจำต้องกินตามนั้น
แต่พอแตะถูกลิ้น เธอก็ร้องเสียงหลง
“เผ็ด! ทำไมเผ็ดแบบนี้? แกจงใจแกล้งฉันใช่ไหม?”
วรงค์อดขำไม่ได้
“ก็แกมันชอบปากจัดนัก ฉันเลยบอกให้เขาช่วยปรุงเป็นพิเศษให้แกโดยเฉพาะ”
“แก...ไอ้บ้า! ไปตายซะ!”
“มื้อต่อไป ฉันจะสั่งให้เขาใส่ให้มากกว่านี้เป็นสามเท่า” วรงค์ตอกกลับ
ภูริศาได้แต่จ้องเขานิ่งไป
กมลชนกจับแขนลูกสาวเอาไว้
“เดี๋ยวเปลี่ยนกับของแม่ก็ได้จ้ะ” เธอรีบบอก
“แล้วแม่ล่ะ?”
“ไม่เป็นไร แม่กินไหว แม่ชอบของเผ็ดอยู่แล้ว”
จากนั้นกมลชนกก็รีบจัดการเปลี่ยนจานกับลูกสาวโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นอีก
หลังจากทานข้าว เอ๊ย ผัดไทเสร็จ ทั้งสามคนก็กลับไปขึ้นรถอีกครั้ง และแน่นอนว่าวรงค์เป็นคนทำหน้าที่ขับรถต่อไป
ภูริศามองมารดาเพื่อบอกให้เธอพูดอะไรสักอย่าง
กมลชนกเข้าใจดี จึงหันไปพูดกับสามีของเธอ
“คุณคะ มือถือของลูกอยู่ไหนคะ? คืนให้ลูกได้ไหมคะ? ลูกหนูอยากจะได้คืน” เธอพยายามทำใจดีสู้เสือเข้าไว้
“จะเอาคืนไปทำไม? หรืออยากจะเก็บไว้โทรไปเรียกคนให้มาช่วย?” วรงค์ทำท่าเหมือนกับรู้ทัน
“เปล่าสักหน่อย นั่นมันมือถือของคุณพ่อที่ให้ฉัน แกก็ควรจะคืนให้ฉันสิ มันไม่ใช่ของแกสักหน่อย” ภูริศารีบเถียง
แต่วรงค์ก็ทำให้สองคนประหลาดใจ เมื่อเขาหยิบมือถือคืนให้โดยดี
ภูริศารับไปอย่างดีใจมาก เธอรีบเปิดเครื่อง แต่พบว่ามันดับสนิท
“ทำไมเป็นอย่างงี้?” เด็กหญิงไม่เข้าใจ
“ก็แบตมันหมดไปแล้วน่ะซี” วรงค์พูดอย่างเห็นขำมากทีเดียว
ภูริศาทำหน้าผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
“ทีนี้แกก็ใช้ติดต่อกับพ่อแกไม่ได้อีก เลิกคิดหวังจะให้ใครมาช่วยอีกดีกว่าน่า” วรงค์บอกให้ตัดใจ
แต่ภูริศายังไม่ยอมตัดใจง่ายๆ
“ใครบอกว่าฉันจะเอาไว้ติดต่อกับคุณพ่อ ฉันแค่เบื่อ ก็เลยอยากจะเล่นเกมเท่านั้นเอง”
“งั้นเร้อ” วรงค์ทำท่าไม่เชื่อ
ภูริศามีสีหน้าดูเสียใจจริงๆ กมลชนกไม่รู้จะทำยังไง
“ถ้าแกอยากจะเอาไว้เล่นเกมฆ่าเวลาจริงๆ เดี๋ยวฉันจะช่วยให้ก็ได้ ถือว่าสงเคราะห์สักครั้ง” วรงค์พูด
“ทำได้เหรอ?” ภูริศาถาม
“ได้สิ แต่รอไปก่อน เพราะตอนนี้ฉันยังไม่ว่างจะช่วยแกประดิษฐ์ประดอยอะไรทั้งสิ้น”
“แล้วจะให้รอถึงเมื่อไหร่?”
“อุวะ อดทนหน่อยไม่ได้รึไง บอกให้รอก็รอสิ”
กมลชนกพยายามปลอบลูกสาวให้อดทน
วรงค์ขับรถไปเรื่อยจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง เขาจอดรถข้างรั้ว
กมลชนกมองไปที่ตัวบ้าน
“นี่ก็บ้านของลูกค้าคุณหรือคะ?” เธอถาม
“ใครบอก นี่เป็นบ้านของเพื่อนผมเอง ผมกะว่าจะมาขอค้างสักคืน แล้วพรุ่งนี้เช้าก็ค่อยเดินทางต่อ”
“แล้วเพื่อนคุณไว้ใจได้หรือคะ?” กมลชนกสงสัย
“เอ๊ะ? เขาเป็นเพื่อนของผมนะ ถ้าไม่ไว้ใจเขาแล้ว ในโลกนี้ยังจะไว้ใจใครได้อีก”
กมลชนกได้แต่อึ้งไป

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป