หน้า 1 2 3 4 5 6 8 9 10 11
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๗…

“ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวคุณก็เล่นมวยปล้ำกับช้างน้อยของผมอีก ผมยังไม่อยากกุดตอนนี้ สาวๆได้ร้องไห้ตาย”
มนสิกานต์หน้าเป็นสีจัดขึ้นมา
“ถ้าแกไม่แก้มัด แล้วฉันจะกินข้าวได้ยังไง”
“ผมป้อนให้ก็ได้”
“ไม่ แก้มัดฉันดีกว่า เอาเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำกับคุณแบบนั้นอีกก็ได้”
“คำพูดของคุณเชื่อได้หรือเปล่า?” ภูสันต์ถาม
“ฉันเป็นลูกสาวของนายพลมนูญนะ คุณไม่เชื่อรึไง?”
“แต่คุณทำตัวดูไม่ค่อยสมกับเป็นลูกสาวนายพลเลยนะ หรือคุณพ่อสอนคุณให้ชอบทำตัวเยี่ยงโจร”
“อย่าว่าคุณพ่อฉันนะ” เธอทำตาลุกวาบ
“ก็มันจริงนี่”
“แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้” เธอออกคำสั่ง
ชายหนุ่มยักไหล่
“ก็ได้ แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนนะ ถึงคุณจะทำร้ายผมจนหมดสติ แต่ก็คงหนีไปจากห้องนี้ไม่ได้หรอก ผมให้พวกยามมายืนเฝ้าหน้าห้องนี้เอาไว้แล้ว สองคนนี้ผมคัดมาเป็นพิเศษกับมือ ไว้เพื่อกำราบคุณโดยเฉพาะเชียวล่ะ สองคนนี้เคยฆ่าคนมาแล้วนะ โดยเฉพาะคนที่ชื่อเด่น เขาฆ่าเมียตัวเองที่ริมีชู้ ต้องติดคุกอยู่หลายปี”
มนสิกานต์หน้าซีดไปทันที
“ผมว่าคุณอยู่ที่นี่เฉยๆ ทำตัวดีๆ แล้วรอให้พ่อของคุณมารับคุณกลับไปจะดีกว่า อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากไปกว่านี้ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน”
พูดแล้ว เขาก็ช่วยแก้มัดให้
หญิงสาวอยากจะซัดเขาสักเปรี้ยง แต่เกรงคนของเขาจะเข้ามาทำร้ายเธอ ก็เลยได้แต่จ้องเขาอย่างแค้นใจมาก
“ทานข้าวสิ” ภูสันต์บอก
“คุณมายืนจ้องแบบนี้ ใครจะไปกินลง”
“อ้าว ก็ถ้าไม่ให้ผมเฝ้าดูคุณไว้ เดี๋ยวคุณก็หาทางหนีน่ะสิ แล้วแบบนี้ผมจะไปอธิบายกับท่านนายพลยังไง แต่ถ้าคุณติว่า ไม่อยากให้ผมยืนดูคุณกินจริงๆ ผมจะให้เด่นเข้ามาเฝ้าแทน เอาไหมล่ะ”
มนสิกานต์รู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ท้ายสุดก็ต้องนั่งทานข้าวต่อหน้าเขา
ภูสันต์ยิ้มเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะเหมือนกับกมลชนก แต่จริงๆกลับดูเฮี้ยวเอาเรื่องน่าดูเหมือนกัน
พอคิดถึงกมลชนก เขาก็หน้าบึ้งขึ้นมา เพราะจริงๆเขายังไม่เคยลืมเธอเลยสักวินาที
แต่ความแค้นที่มีต่อเธอ ทำให้เขาต้องแย่งลูกของเธอมา ให้เธอทนทรมานพบกับความสูญเสียเสียบ้าง
ชายหนุ่มคิดเพลิน กว่าจะรู้สึกตัว หญิงสาวก็ทานข้าวเสร็จพอดี
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ” มนสิกานต์บอก
ภูสันต์ยักไหล่
“งั้นไปใช้ที่ห้องของผมแล้วกัน ผมจะได้ดูว่าคุณจะไม่ถือโอกาสหนีด้วย”
“ช่างระวังจริงนะ แต่จะป้องกันไปได้สักกี่น้ำ”
“ไงๆผมก็ไม่ปล่อยให้คุณหนีไปได้หรอก คุณทำผมเสียชื่อมาทีแล้ว ขืนให้คุณหนีไปได้ ผมจะเอาหน้าไปไว้ไหน มีหวังลูกน้องผมคงเสื่อมศรัทธาแน่”
มนสิกานต์เชิดหน้าถือดี
เธอเดินไปเปิดประตู แล้วเจอลูกน้องของภูสันต์สองคนยืนขวางทางอยู่ แสดงว่าที่ภูสันต์พูดคงจะจริงทุกอย่าง
แต่พอเห็นภูสันต์ พวกเขาก็หลีกทางให้เธอ
ภูสันต์จับแขนเธอพาตรงไปยังห้องของเขาเอง
“ห้องนั้นแหละ” เขาชี้ไปที่ประตูด้านใน
มนสิกานต์เดินกระแทกเท้าเข้าไปในห้องน้ำ แล้วจึงปิดประตู เธอพบว่าห้องนี้ไม่มีกลอนจริงๆด้วย แบบนี้ภูสันต์จะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้
หญิงสาวรู้ตัวว่าคงจะไม่มีเวลาหาช่องทางหนี เพราะถ้าชักช้าอยู่ ภูสันต์จะต้องเข้ามาดู และถ้าเธออยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย คงต้องเอาหน้ามุดดินแน่
เธอรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วก็รีบออกมาพบชายหนุ่มที่ยืนคอยจับเวลาอยู่อย่างไม่ยอมพลาด
“ดีมาก ถ้าช้าอีกนิด คุณอาจต้องขายหน้าก็ได้”
หญิงสาวหน้าแดงจัด
“เชิญ” เขาทำท่าผายมือให้
หญิงสาวสะบัดหน้า ก่อนจะเดินนำเพื่อกลับไปสู่กรงขังอีกครั้ง

อนกลางวัน ภูสันต์ก็นำอาหารเข้ามาให้เธออีก
“ทำไมคุณต้องนำอาหารมาด้วยตัวเองทุกครั้งด้วย?”
“ถ้าคุณเล่นงานลูกน้องผมเข้า ก็แย่สิ ผมมาดูเองดีกว่า และผมอยากให้ท่านนายพลวางใจว่า ผมได้ให้เกียรติ์กับลูกสาวของท่านมากพอ”
“คุณจะขังฉันไปถึงเมื่อไหร่”
“จนกว่าพ่อคุณจะมารับ หรือไม่คุณก็ทำตัวให้น่าเชื่อถือ ว่าจะไม่หลบหนี ผมก็จะยอมให้คุณออกจากห้องได้ แต่ก็ต้องอยู่แต่ในบ้านนะ ห้ามออกไปข้างนอก”
“ทำไม?”
“ก็คิดดูสิ ถ้ามีคนเห็นคุณอยู่ในบ้านผม อะไรจะเกิดขึ้น คุณต้องเป็นฝ่ายเสียชื่อเสียงเกียรติยศ คุณมาอยู่บ้านผู้ชายเป็นหลายวันหลายคืน แถมเป็นผู้ชายที่มีข่าวลือที่ไม่ค่อยสู้ดีอย่างผมด้วย ยังคิดว่าจะมีใครเชื่อว่าคุณยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอีก”
มนสิกานต์หน้าซีดเล็กน้อย แต่เธอทำเป็นไม่หยี่หระ
“ก็ช่างพวกเขาไปสิ ฉันไม่สนใจคำพูดคนอื่นหรอก”
“แต่พ่อคุณคงไม่พอใจมาก เพราะเขาคงจำต้องยอมรับผมเป็นลูกเขยในที่สุด”
“ว่าไงนะ?” มนสิกานต์ไม่เชื่อหู
“ก็ไม่จริงรึไง ถ้าคุณเสียชื่อไปแล้ว คุณคิดว่ายังจะมีใครอยากแต่งงานกับคุณ ถ้าไม่ใช่ผม”
“ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคุณ” มนสิกานต์พูดห้วนๆ
ภูสันต์ยักไหล่ “เอาเถอะ เรื่องบุพเพสันนิวาสเป็นเรื่องของฟ้ากำหนดมา ถึงต่างคนก็ไม่อยาก สุดท้ายคงต้องแต่งกันอยู่ดีแหละ”
“ฉันขอตายดีกว่าที่จะแต่งงานกับคุณ” หญิงสาวพูดขึ้นห้วนๆอย่างไม่พอใจมาก
“เอาซี จะใช้วิธีกลั้นใจตายแบบนางเอกหนังจีน หรือว่าจะใช้มีดกรีดข้อมือ หรือว่าผูกคอตาย หรือกินยาตาย หรือจะไปกระโดดน้ำตายก็ช่าง ไงๆผมคงไม่เดือดร้อนไปด้วยหรอก”
เธอจ้องเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ
“รีบๆกินเข้าไปเถอะ ผมจะได้รีบออกไปดูงานของผมบ้าง” ภูสันต์พูดอย่างเบื่อๆ
“ไม่ต้องเฝ้าก็ได้”
“คงไม่ได้ ผมจะรอเก็บจานไปด้วย ขืนให้คนเข้ามาเก็บ เกิดคุณทำร้ายคนของผมหนีไปได้ จะให้ผมทำไง”
หญิงสาวหมั่นไส้นัก แต่ก็ยอมกินตามที่เขาบอก

ภูสันต์ลงมาข้างล่าง ก็เห็นมีข้าวของมาวางอยู่เต็ม
“นี่มันอะไร? ของใคร?” เขาถาม
“มีคนส่งมาให้นายกรรชัยขรั่บ” เบี้ยวรายงาน
ภูสันต์ขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าของใครส่งมา
เขาหยิบช่อดอกไม้กับกล่องเครื่องประดับที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“นี่ก็ของนายกรรชัยงั้นเหรอ?” ภูสันต์ไม่อยากเชื่อ
“ไม่ใช่ขรั่บ เป็นของนายเกศราขรั่บ”
ภูสันต์ถึงกับอึ้งไป เมื่อคิดว่ามีคนจะมาขอซื้อตัวเกศราไปจากเขา
“แล้วนายเกศรารู้หรือยัง?” ภูสันต์ถาม
“ยังบ่ฮู้ขรั่บ เพราะนายเกศราไม่อยู่ ไปส่งลูกๆเข้าโรงเรียนแล้วก็ยังบ่กลับ” เบี้ยวตอบ
ชายหนุ่มพยักหน้าเฉยๆ แล้วจึงเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น และนั่งลงเอนหลังอิงเก้าอี้บุนวมตัวโปรด
‘หรือว่า...ฉันต้องเสียเกศราและกรรชัยไปพร้อมๆกัน’ ภูสันต์ถามตัวเองอย่างค่อนข้างวิตกกังวล เพราะทั้งสองคนถือเป็นคนสำคัญของเขาทั้งคู่ ไม่เพียงแค่เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์จงรักภักดี ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และภรรยาที่เขารักยิ่ง
มาตอนนี้เขาเพิ่งมารู้สึกตัวว่า เขารักเกศรามากจนบอกไม่ถูก รักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เธอค่อยๆซึมเข้ามาในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว
เขามัวแต่คุ้มแค้นเรื่องกมลชนก จนไม่คิดจะแต่งงานใหม่ เกือบจะทำให้ตัวเองพลาดเรื่องสำคัญไป พอมีคนมาเสนอตัวให้หญิงสาว เขาถึงรู้ตัวว่าไม่อาจขาดเธอไปได้
ชายหนุ่มนั่งคิดอยู่นานเท่าไหร่ไม่ทราบ เมื่อเกศรากลับมา และตามเขาเข้าไปช่วยนวดเนื้อตัวให้
“เกศรา เธออยู่กับฉันแล้ว...มีความสุขไหม?” ภูสันต์ถามเธอ
เกศรามองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
“ค่ะ มีอะไรหรือคะ?”
“แล้ว...ไม่นึกอยากเป็นนายผู้หญิงกับเขาบ้างหรือ?”
เกศราหน้าแดง “นายภูอยากให้ฉันแต่งงานกับใครหรือคะ?”
“ก็ฉันนี่ไง”
เกศรามองเขาอย่างงุนงง
ภูสันต์ยิ้ม เขายื่นมือออกไปจับไหล่เธอ ดึงตัวขึ้นมานั่งข้างกาย
“แต่งงานกับฉันนะ ฉันรู้ว่าอาจพูดจาเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่ฉันไม่คิดว่าผู้ชายอื่นจะให้ความสุขกับเธอได้มากไปกว่าฉัน” ภูสันต์พูดอย่างมั่นใจในตัวเอง
“เรื่องผู้หญิงคนนั้น...นายภูจะขังเอาไว้อย่างงั้นอีกนานเท่าไหร่คะ? ที่จริง...นายภูใช้ให้ใครขับรถพาส่งกลับบ้านของเธอไปก็จบเรื่องแล้ว” เกศราพูดเหมือนเปลี่ยนเรื่อง
ภูสันต์เลิกคิ้ว เพราะเธอไม่ยอมตอบเขา
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันโดนหยามศักดิ์ศรีถึงขนาดนี้ จะให้ทำเฉยได้ไง พวกนั้นได้พากันหัวเราะเยาะฉันตาย”
“แต่ฉันเกรงว่า นายภูจะเดือดร้อน เพราะผู้หญิงคนนั้นทีหลัง” เกศราพูดอย่างเป็นห่วงเขาอยู่
“อย่าห่วงเลย ฉันไม่ยอมให้ใครทำอะไรง่ายๆหรอก”
“แต่ทางนั้นเป็นถึงระดับนายพล” เกศราไม่ได้ดูถูกเขา แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะทำประมาทไม่ได้
“นายพลก็นายพลสิ พวกเขาไม่มีสิทธิ์จะมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่และดูถูกเหยียดหยามคนอื่น เห็นฉันเป็นพวกบ้านนอกคอกนาหน่อย ก็ทำเป็นไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วยแล้ว”
“ตั้งแต่เรามาที่กรุงเทพฯนี่ ก็ดูจะมีแต่เรื่อง นายภู เรากลับไปยังบ้านของเราไม่ดีกว่าหรือคะ?” เกศราพูดกับเขาอย่างขอร้อง
“ที่นี่ก็เป็นบ้านของเราเหมือนกัน” ภูสันต์บอก
“แต่คนเมืองไว้ใจไม่ค่อยได้ มีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรด คอยรุมจ้องจะทำร้ายนายภูอยู่ แล้วยังสองผัวเมียคู่นั้นอีก”
ภูสันต์ทำหน้าขึ้งเคียด
“แต่ถ้าเรากลับไป เราก็กลายเป็นแค่หมาขี้แพ้ ต่อไปจะกล้าสู้หน้าใครได้อีก คนอื่นก็จะยิ่งดูถูกเหยียดหยามเรามากขึ้น”
เกศราอึ้งไป รู้ตัวว่าคงจะเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ
“แต่เธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ เกศรา ฉันเพิ่งขอแต่งงานกับเธอเอง เธอไม่เข้าใจเหรอ?”
“แล้วจู่ๆทำไมนายภูถึงพูดเรื่องนี้คะ? เราอยู่ของเรากันแบบนี้ก็ดีแล้ว”
“ก็ฉันอยากแต่งงานกับเธอตอนนี้ ไม่ดีรึไง?”
“ไม่ดีค่ะ ไงฉันคงแต่งงานกับนายภูไม่ได้หรอก”
ภูสันต์จ้องหน้าเธอ
“ทำไม?” เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะกล้าปฏิเสธ
“เพราะฉันเป็นแค่คนใช้ นายภูไม่สมควรแต่งงานกับฉันอย่างยิ่ง มันจะลดเกียรติ์ของตัวนายภูเอง ถ้านายภูอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป และสร้างฐานะความยิ่งใหญ่ นายภูก็ควรแต่งงานกับผู้หญิงที่จะช่วยนายภูเรื่องนี้ได้ อย่าง...ผู้หญิงคนนั้น” เกศราหมายถึงมนสิกานต์ที่ถูกขังอยู่ในห้อง
“แต่ฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับคนอื่นนี่ ฉันอยากแต่งงานกับเธอมากกว่า”
“นายภูอย่าดึงดันดีกว่าค่ะ นายภูก็รู้ดี ว่ามันเป็นไปไม่ได้ พี่กรรชัยเองก็คงไม่เห็นด้วย แล้วยังลูกๆของฉันอีก”
ภูสันต์ได้แต่มองหน้าเธอ เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า คนอื่นมาเกี่ยวอะไรด้วย
“กรรชัยคงไม่กล้าขัดใจฉันหรอก ส่วนเด็กๆ...ถ้าเราได้แต่งงานกัน พวกแกก็จะกลายเป็นลูกเลี้ยงของฉัน ฐานะของพวกแกก็จะเลื่อนสูงขึ้นมาเป็นคุณหนู แบบนี้ไม่ดีรึไง เธอก็เห็นแล้ว ที่ผ่านมา...ฉันดีกับพวกแกแค่ไหน”
“ค่ะ ฉันถึงซาบซึ้งใจ และไม่อยากจะเป็นคนถ่วงอนาคตของนายภู ฉันอยากให้นายภูควรคิดดูให้รอบคอบกว่านี้ ถ้านายภูสามารถแต่งงานกับลูกสาวของท่านนายพลได้ นายภูก็จะกลายเป็นคนที่มีอนาคต มีเกียรติ์ มีศักดิ์ศรี และมีชื่อเสียง มีแต่คนคอยเคารพนบนอบ และลืมว่านายภูเคยมีฐานะเป็นมายังไง จะไม่มีใครกล้าดูถูกเหยียดหยามอีกต่อไป แต่ถ้านายภูแต่งงานกับฉัน เกรงว่าเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่ ที่นายภูทำลงไปทุกอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเพื่อคุณหนูหรอกหรือคะ?”
ภูสันต์ทำท่านิ่ง ไม่ยอมตอบ
เขาเองก็ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับเธอ แต่เขาไม่อยากจะต้องฝืนใจแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รัก
“แล้วถ้าถึงตอนนั้น...เธอล่ะ? เธอจะทำยังไง?” ภูสันต์ถาม
“ถึงเวลานั้น...นายภูก็จะทราบเองค่ะ” เกศราตอบ
ภูสันต์ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เธอพูด
“เกศรา...”
เบี้ยวผลุนผลันเข้ามา สองคนจึงรีบผละออกจากกัน
“นายกรรชัยกลับมาแล้วขรั่บ นายภู” เบี้ยวรีบรายงานราวกับไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น
“งั้นก็ดี แล้วอยู่ไหน?” ภูสันต์ลุกขึ้น
กรรชัยเดินเข้ามาหลังจากนั้น
เกศราเห็นว่าสองคนคงมีอะไรต้องคุยกัน จึงได้ขอตัวไปเงียบๆ เบี้ยวเองก็ตามออกไปด้วยเช่นกัน
“เป็นไง? ทำไมกลับซะเย็นมากนักล่ะ? นายไพศาลเขาคุยอะไรกับแกงั้นเหรอ? ใช่เรื่องที่จะขอซื้อตัวแกรึเปล่า”
กรรชัยยิ้มนิดๆ
“ครับ นายภูทายถูกเผง แต่ผมก็ปฏิเสธไปแล้วเหมือนกัน”
“แล้วยังไง? เขาคงไม่ยอมเลิกล้มง่ายๆใช่ไหม? แล้วเขาเสนอเงินเดือนให้เท่าไหร่ คงมากกว่าที่ฉันให้ล่ะซี”
กรรชัยหน้าจืดเล็กน้อย
“...เอ้อ...ครับ เขาจะให้ผมถึงสามเท่า”
ภูสันต์หัวเราะชอบใจ
“แกดังใหญ่แล้วนะ แค่แกโชว์ฝีมือนิดเดียว ก็มีคนสนใจแกตั้งหลายคน คนพวกนั้นก็คงจะเหมือนฉันแหละ อยากจะได้คนมีฝีมือเพื่อขยายเขตอิทธิพลของตัวเอง อีกทาง...ก็เป็นการตัดกำลังคู่แข่งที่น่ากลัวของตนเองด้วย ถ้าฉันขาดมือขวาอย่างแกไปสักคน ฉันก็คงเหมือนกับมังกรไร้เขี้ยวเล็บ”
“หมายความว่า...เป้าหมายจริงๆของพวกเขาคือ ต้องการตัดกำลังของนายภูใช่ไหมครับ?” กรรชัยเบิกตากว้าง เมื่อได้คิดเช่นนั้น
“ก็งั้นแหละ นี่ก็แสดงว่าพวกเขากำลังกลัวฉันอยู่เหมือนกัน ถึงต้องรีบหาทางตัดกำลังเสียแต่เนิ่นๆ” ภูสันต์พูดอย่างมั่นใจ
กรรชัยไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
ภูสันต์ลังเลเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจพูด
“...ฉันอยากจะคุยกับแก เรื่องเกศรา”
“เกศราทำไมหรือครับ?” กรรชัยดูสงสัย
“ฉันอยากแต่งงานกับเกศรา” ภูสันต์บอกความประสงค์ของตนให้รับรู้
แต่กรรชัยมีท่าทางไม่เห็นด้วย
“ผมว่านายภูคิดใหม่เถอะ เกศราไม่เหมาะสมกับนายภูเลยสักนิด”
“แกไม่อยากเป็นพี่เมียฉันรึไง?” ภูสันต์ไม่อยากเชื่อ
“ไม่ครับ ผมอยากช่วยนายภูขยายอิทธิพลมากกว่า ไม่ได้อยากคิดจะเลื่อนฐานะของตนเองด้วยวิธีแบบนี้”
“แปลว่า...แกไม่เห็นด้วย?”
“แน่นอนครับ ผมคิดว่าเกศราเองก็คงไม่ยอม ถ้าเธอจะเป็นตัวถ่วงความเจริญก้าวหน้าของนายภู เธอก็คงจะเป็นฝ่ายไปเอง”
ภูสันต์ถอนใจอย่างเศร้าใจอยู่
“ทำไมฉันถึงได้ดวงจู๋เรื่องความรักแบบนี้นะ? ผู้หญิงคนแรกที่ฉันรักก็ดันมีชู้ คนต่อมาก็ดันไม่อยากแต่งงานกับฉัน”
“เรื่องของคุณกมลชนกถือว่าเป็นความผิดพลาด กรณีของเกศรา...นายภูคงแค่สงสารเธอเท่านั้น”
“แกนี่แปลกคนจริงๆนะ คนอื่นๆเขามีแต่อยากจะเลื่อนฐานะของตัวเอง ถึงกับยัดเยียดลูกเมียตัวเองให้ฉันด้วยซ้ำ”
กรรชัยไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
“แล้วท่านนายพลมนูญล่ะครับ? ตกลงท่านตอบมาว่าไง? ท่านยอมมารับลูกสาวเองหรือเปล่า?” เขาเปลี่ยนเรื่องถาม
ภูสันต์ส่ายหน้า
“ไม่ เขาให้ลูกน้องมาบอกว่าตัวเองไม่อยู่ ไปราชการที่ต่างจังหวัด ไม่ว่างจะมาเอง เลยจะให้ฉันพาลูกสาวไปส่งให้ แต่ฉันว่าเป็นข้ออ้างมากกว่า”
“แล้วนายภูยอมหรือครับ?”
“ก็ต้องไม่ยอมสิ ทำเป็นเล่นตัวดีนัก ฉันเลยคิดว่าจะขอลองประชันแข่งความอดทนดู ดูซิว่า ใครจะชนะ ฉันเลยบอกไปว่า ไม่เป็นไร จะช่วยดูแลคุณหนูแทนให้จนกว่าท่านจะมีเวลาว่างมารับเองนั่นแหละ”
“มีหวังท่านนายพลคงยั๊วะจัดน่าดู” กรรชัยวิจารณ์
“ก็ดีแล้วนี่ ให้ท่านรู้จักฉันเสียบ้าง ว่าคนอย่างฉันก็เล่นได้ไม่ง่าย”
“แต่ถ้าเข้าทางพ่อไม่ได้ งั้น...?” กรรชัยพูดทิ้งเป็นนัย ให้นายจ้างของเขาได้คิด
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากจะมีเมียปากจัด คำก็ดูถูกเราว่าเป็นสวะบ้างล่ะ เป็นพวกนักเลงหัวไม้บ้างล่ะ แต่ละคำแสบๆทั้งนั้น”
“แต่ถ้านายภูอยากขยายอำนาจ วิธีที่เร็วที่สุดคือ นายภูต้องแต่งงานกับลูกสาวคนที่มีอำนาจทางการเมืองหรือการทหารเท่านั้น”
“คิดหรือว่า...คนระดับนั้นแล้ว เขาจะอยากเอาตัวเข้ามาเกี่ยวด้วย ดูแค่ที่ท่านนายพลทำกับฉันก็ได้”
“อย่ายอมแพ้สิครับ ตอนนี้เราก็มีโอกาสแล้ว ถ้าเราทำข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกไปเสีย ถึงท่านนายพลจะไม่ชอบยังไง ก็ต้องยอมรับจนได้”
ภูสันต์ถึงกับเงียบไป
“นายภู โอกาสอาจไม่มีอีกแล้วก็ได้นะครับ” กรรชัยรีบเตือนเขาด้วยความหวังดี
“เรื่องนี้...ขอฉันคิดดูก่อน”
พูดแล้วชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไป
กรรชัยถอนใจ เพราะเขารู้จักภูสันต์ดี ลองพูดแบบนี้คงจะไม่มีหวังแน่
ถ้าแบบนี้ เห็นทีคงต้องใช้วิธีบังคับกันแล้ว

นสิกานต์รอจนภูสันต์ยกอาหารเข้ามา พอสาวใช้ออกไปแล้ว เธอก็พูดกับเขาทันที
“คุณเลิกขังฉันแบบนี้ทีเถอะ ให้ฉันได้ออกไปเดินเล่นสูดอากาศบ้าง ฉันอยู่ในนี้จนเบื่อจะตายอยู่แล้วนะ คุณอยากให้ฉันขาดอ็อกซิเจนตายรึไง” หญิงสาวบอก
ภูสันต์เลิกคิ้ว
“อยู่ในนี้จะไปขาดอ็อกซิเจนได้ไง คุณพูดเกินไปหน่อยแล้ว”
“ถึงไม่ขาดอ็อกซิเจนตาย ฉันก็บ้าตายได้เหมือนกัน”
“อยู่ในนี้ก็ดีแล้วนี่ ขืนปล่อยออกไป เดี๋ยวก็ได้ก่อเรื่องขึ้นมาอีก”
มนสิกานต์ส่งเสียงร้องกรี๊ด
ภูสันต์ยกมืออุดหูตัวเอง เพราะเสียงเธอฟังแหลมสูงจนแทบบาดแก้วหู
เด่นกับด้วงที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ตกใจ หันมามองหน้ากันเอง เพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เด่นตัดสินใจจะเคาะประตูดูเสียหน่อย เมื่อจู่ๆก็มีมือมาจับไหล่ของเขาเอาไว้
ทั้งสองหันกลับมาเห็นกรรชัยเข้า ก็ทำท่าจะรายงานให้ทราบ แต่กรรชัยเองก็ได้ยินเสียงนั้นอยู่
“อย่าเอะอะไป ถ้าพวกแกสองคนไม่อยากโดนนายภูไล่เตะตูดล่ะก็” กรรชัยบอกพวกเขายิ้มๆ
“เอ๊ะ? ทำไมล่ะครับ?” ด้วงทำท่าไม่เข้าใจ
“ไม่เข้าใจอีกเหรอ? ก็คิดดูซี หนุ่มหล่อสาวสวยสองคนอยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสอง อะไรมันจะเกิดตามมา”
เด่นกับด้วงทำสีหน้าอ๋ออย่างเข้าใจในทันที ต่างก็พากันแอบหัวเราะขำไปทั้งคู่

ภูสันต์เดินมาเจอสาวใช้สองคน พวกเธอมองเขาแล้วก็พากันแอบหัวเราะคิกๆไปตามกัน แต่ก็ทำท่าไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น แกล้งทำเป็นทำงานอย่างขมักเขม่นอยู่
ไม่เพียงเท่านั้น เขาสังเกตเห็นว่าลูกน้องบางคนก็มองเขาด้วยสายตาดูล้อเลียนอยู่
ชายหนุ่มคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ จึงได้ไปสอบถามกรรชัยดู
กรรชัยก็ตีหน้าตายสนิทไป
“แหม...เรื่องนี้มาถามผมได้ไงครับ ก็นายภูไปทำอะไรไว้ให้คนอื่นเขาสงสัยหรือเปล่าล่ะ?”
ภูสันต์ขมวดคิ้ว เขานึกไม่ออกว่าเรื่องอะไร
“แล้วฉันทำอะไร?” ชายหนุ่มถาม
“ก็ทำเรื่องที่เราเคยคุยกันวันก่อนไง เรื่องหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก”
ภูสันต์ได้ฟังก็ถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย! ฉันเปล่าทำนะ”
“ถ้าเปล่าทำ แล้วไหงคุณมนสิกานต์ร้องซะเสียงดังลั่นไปหมดอย่างงั้นล่ะครับ”
“แกเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้น”
“ไม่ต้องแก้ตัวก็ได้ครับ พวกเราทุกคนเข้าใจดี เรื่องของหนุ่มๆสาวๆเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ว่าใครถ้ามาเจอเข้าแบบเดียวกันนี้ ก็คงจะอดใจไว้ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราไม่เก็บเอาไปพูดมากอยู่แล้วครับ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะของอย่างงี้ รู้คนเดียวก็หมดสนุกซีครับ”
ภูสันต์ได้แต่ค้อนควัก เขารู้ตัวว่าถึงแก้ตัวไป ก็คงจะไม่มีใครเชื่อแน่

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป