home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๒
เป็นฝีมือของใคร? ภูสันต์ถามเสียงกระด้าง
ผมเองก็ไม่ทราบครับ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันดูแปลกๆอยู่ กรรชัยพูดเสียงเครียด
แปลกยังไง? ภูสันต์ถาม
เกศราไม่เคยมีเรื่องกับใคร แล้วทำไมคนร้ายถึงต้องมาขโมยลูกของเธอไปด้วย
ภูสันต์จ้องหน้าเขา
หรือเป้าหมายจะเป็นยายหนูเอง?
อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ กรรชัยจำต้องตอบ
ภูสันต์ขมวดคิ้ว
หรือจะเป็นวรงค์? เขาคงจะมาขโมยลูกของตัวเองคืน แต่เพราะเขาไม่เคยเห็นหน้าลูกมาก่อน เลยขโมยผิดตัว
เป็นไปได้ครับ กรรชัยเห็นด้วย
รีบออกรถ ฉันจะไปเอาเด็กคืน ภูสันต์ออกคำสั่ง
เดี๋ยวก่อนครับ นายภูอย่าเพิ่งใจร้อน กรรชัยกลับห้ามเขา
ทำไม?
กรรชัยเหลือบมองหน้าเกศราด้วยสีหน้าขรึมอยู่ เธอเองก็มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ผมว่าแบบนี้ดีแล้ว เพื่อตัดปัญหายุ่งยากที่อาจตามมา ปล่อยให้นายวรงค์เข้าใจว่าตัวเองได้ลูกคืนไปแบบนี้ดีกว่า
หมายความว่า...
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เราก็ยกเด็กคนนั้นให้นายวรงค์กับคุณกมลชนกเอาไปเลี้ยงซะ ถ้าพวกเขาได้ลูกคืนแล้ว ก็คงจะรามือ ไม่คิดจะกลับมาเอาตัวคุณหนูไปอีกคน
เกศรามีสีหน้าดูตกใจมาก แต่เธอไม่กล้าพูดอะไรสักคำเดียว
ภูสันต์มองใบหน้าซีดของเธอ ก่อนจะหันมามองกรรชัยที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่
จะให้สละเด็กคนนี้ทิ้งงั้นเหรอ?
เพื่อคุณหนู และเพื่อนายภูด้วย เราควรยอมสละเด็กคนนี้ อาจจะผิดต่อเกศราไปบ้าง แต่มันก็จำเป็น ถ้านายภูคิดจะเลี้ยงคุณหนูเป็นลูกจริงๆ ก็ควรทำให้เด็ดขาดลงไป
ภูสันต์มีสีหน้าเข้าใจในทันที
เขาหันมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟา
เรื่องนี้...ฉันจะให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง เพราะเธอเป็นแม่ที่แท้จริง ฉันไม่อยากจะเอารัดเอาเปรียบเธอ ถ้าเธออยากจะได้ลูกคืนจริงๆ ฉันจะเป็นคนไปพากลับมาให้เอง
เกศรามองหน้าเขาอย่างตกใจอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเป็นคนตัดสินชะตากรรมของลูกตัวเองแบบนี้
กรรชัยเองก็มองหน้าเธอ เตือนให้เธอระลึกถึงพระคุณที่ภูสันต์อุตส่าห์ไปรับเธอกับลูกๆมาชุบเลี้ยงอย่างดี ทำให้เธอกับลูกๆไม่ต้องลำบากลำบนอีกต่อไป
เกศราเข้าใจดี จึงได้พยักหน้า
ค่ะ แล้วแต่นายภูเถอะค่ะ นายภูมีพระคุณต่อพวกเราแม่ลูก นายภูว่าไงก็ว่าตามนั้น
ขอบใจมาก ฉันสัญญาว่าจะตอบแทนเธอและลูกๆแน่
กรรชัยรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
กมลชนกรีบกอดลูกของตัวเองทันที เธอน้ำตาไหลออกมาด้วยความรู้สึกตื้นตันไปหมด
ลูกแม่ ในที่สุด...ลูกก็ได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของแม่แล้ว หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไปหมด
อย่าเพิ่งมาแสดงบทซาบซึ้งอยู่เลย รีบขนข้าวของขึ้นรถเร็ว ไม่งั้น...เกิดนายภูสันต์ตามมา เขาจะต้องพรากเอาลูกของเราไปอีกแน่
กมลชนกได้ยินก็รีบไปช่วยเขาขนกระเป๋าเสื้อผ้าไปไว้ในรถ แล้วจึงค่อยกลับมาอุ้มทารกน้อยกลับไปนั่งรอในรถ
กรรชัยเปิดประตูรั้ว จากนั้นก็กลับมาถอยรถออก
เราจะไปไหนคะ? กมลชนกถาม เมื่อเขาออกรถเข้าสู่ถนนใหญ่แล้ว
ตอนนี้เราไปหาบ้านเช่าอยู่กันชั่วคราวไปก่อน รอจนกว่าเรื่องซาลงแล้ว ค่อยกลับมาใหม่ทีหลังก็ได้ วรงค์ตอบ
คุณภูสันต์จะตามมาถูกไหมคะ? กมลชนกชักกลัว
ไม่ต้องห่วง แผ่นดินบนกรุงเทพใช่ว่าเล็กเท่าใบพุทรา เขาไม่มีทางตามเราเจอได้ง่ายๆหรอก เว้นแต่เขาจะมีตาทิพหูทิพเท่านั้น พรุ่งนี้ผมจะโทรไปลาออกจากงาน และหางานใหม่ ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้นายภูสันต์เก่งกาจขนาดไหน ก็คงสิ้นท่าตอนนี้แหละ
กมลชนกพยักหน้า พยายามเชื่อที่เขาพูดทุกอย่าง
ลูกเป็นอะไรไปคะ? เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด กมลชนกสงสัย จึงเอามือแตะหน้าผาก แล้วสะดุ้ง
ตายแล้ว แกไม่สบายนี่ ตัวร้อนจี๋เลย หญิงสาวหันไปบอกกับสามีอย่างตกใจมาก
วรงค์มุ่นคิ้ว
เรารีบพาไปโรงพยาบาลกันก่อนเถอะนะคะ เธอทำท่าคะยั้นคะยอ
ถ้าไปโรงพยาบาลตอนนี้...
นี่คุณมัวห่วงอะไร ไม่กลัวลูกจะเป็นอะไรหรือคะ?
ชายหนุ่มถอนใจเฮือก
เอ้า ก็ได้ ข้างหน้ามีโรงพยาบาล เดี๋ยวเราเอาลูกไปให้หมอดูอาการเสียหน่อยก็ได้
วรงค์ขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดที่ลานจอดรถ แล้วจึงได้พาภรรยาสาวกับลูกน้อยไปลงทะเบียนผู้ป่วยภายนอกที่เคาน์เตอร์ก่อน โดยบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าเด็กชื่อวรุณชนก
จากนั้นพวกเขาก็ไปนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจโรค แล้วก็มีพยาบาลมาดูอาการเด็ก ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าพบกับหมอซึ่งเป็นนายแพทย์วัยกลางคน
หมอถามอาการต่างๆจากผู้เป็นพ่อแม่ สองคนก็ตอบไปอึกๆอักๆดูน่าสงสัยอยู่ ท่าทางก็ดูมีพิรุธ หมอเกิดความสงสัยว่า เด็กอาจถูกสองคนลักพาตัวมาก็ได้
เด็กคนนี้เป็นลูกพวกคุณแน่หรือครับ? หมอถามเพราะชักจะไม่เชื่อแล้ว
แน่สิครับ เด็กเป็นลูกของพวกเรา วรงค์ตอบน้ำเสียงหนักแน่น
แต่หมอไม่เชื่อ จึงให้พยาบาลมาเจาะเลือดทั้งสามคนไปตรวจดูเพื่อความไม่ประมาท
ไอ้หมอเฮงซวย มันสงสัยอะไรนักหนาวะ? วรงค์ชักโมโห นี่เขาต้องมาเสียเวลานั่งรอผลการตรวจดีเอ็นเออีก
กมลชนกมีอาการตกใจกลัวมากจนแทบคุมสติไม่อยู่
ทำไงดีคะ? ถ้าเกิดเขาตรวจสอบประวัติขึ้นมา แล้วรู้ว่าเราขโมยเด็กมาล่ะก็...
แต่แกเป็นลูกของเราจริงๆ กลัวอะไร?
กมลชนกอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า
สักครู่ก็มีพยาบาลพาตำรวจสองนายตรงมายังพวกเขา และพยาบาลก็ชี้มือมาที่พวกเขาที่นั่งรอฟังข่าวอยู่
สองคนนี้แหละค่ะ พยาบาลบอกกับนายตำรวจที่เป็นหัวหน้า
วรงค์กับกมลชนกมีอาการงุนงงไปทั้งคู่
นี่มันอะไรกันครับ? วรงค์ถามอย่างไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น
นายตำรวจยศร้อยตรีมองหน้าเขาเคร่งขรึมอยู่
เราได้รับโทรศัพท์แจ้งจากโรงพยาบาลว่าคุณสองคนมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยอยู่ คงต้องพาคุณสองคนไปยังโรงพัก
เดี๋ยวก่อน! นี่มันเรื่องอะไรกัน? พวกผมมีอะไรที่ดูน่าสงสัย โรงพยาบาลนี้มันเป็นยังไงกันแน่? วรงค์ดูไม่พอใจมาก
พยาบาลจึงตอบว่า
ก่อนหน้านี้เราได้รับเรื่องร้องเรียนมาว่า มีเด็กอายุไม่เกินสี่เดือนถูกลักพาตัวมา เด็กกำลังตัวร้อนเป็นไข้ คิดว่าคนร้ายที่เป็นสองสามีภรรยาจะต้องพาเด็กมาให้ทำการรักษาแน่ คุณทั้งสองคนเองก็มีรูปพรรณสันถารตรงตามที่เราได้รับแจ้งไว้ แถมผลการตรวจเลือดก็ออกมาแล้ว เด็กไม่ใช่ลูกของพวกคุณจริงๆ
วรงค์ได้แต่จ้องเธออย่างไม่เชื่อ
ไม่ใช่งั้นเหรอ? กมลชนกถามพยาบาลอีกครั้ง
ค่ะ พวกคุณคนนึงเลือดกรุ๊บเอ อีกคนกรุ๊บโอ จึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเป็นพ่อแม่ของเด็กที่มีเลือดกรุ๊ปเอบี จึงสรุปได้ว่า พวกคุณสองคนไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กคนนี้
วรงค์ทรุดตัวลงนั่งลงกับเก้าอี้ด้านหลังเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง
งั้นลูกฉันล่ะคะ? ลูกฉันอยู่ที่ไหน? กมลชนกถาม
เรื่องนี้เอาไว้เราไปคุยกันที่โรงพักดีกว่า นายตำรวจยศร้อยตรีบบอกกับทั้งสองคน
เขาเข้ามาจับแขนกมลชนกที่มีอาการงุนงงยิ่งนัก ส่วนนายตำรวจรุ่นน้องก็เข้าไปคุมตัววรงค์เตรียมพาไปโรงพักทั้งคู่
พวกเขาเดินมาตามระเบียงได้ครึ่งทาง ก็พบภูสันต์และลูกน้องของเขาเดินสวนทางมา
แก...ไอ้ภูสันต์ คืนลูกฉันมานะ วรงค์หน้าเผือดด้วยความโกรธ เขาทำท่าจะโผนเข้าหา แต่ลูกน้องของภูสันต์รีบเข้ามาชกหน้าของเขา
หยุดนะ! นายตำรวจยศร้อยตรีส่งเสียงห้ามทั้งสองคนโดยเร็ว
ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันไปเป็นครู่
ลูกฉันล่ะคะ? เกศราถาม
ตามฉันมาทางนี้ค่ะ พยาบาลบอกกับเธอ
เกศรามองภูสันต์ เขาพยักหน้าอนุญาต เธอจึงรีบตามหลังของพยาบาลสาวไป
คุณตำรวจ ผมขอแจ้งความ หมอนี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ชิงเอาลูกของผมไป เขาทำให้ผมต้องทำเรื่องแบบนี้ วรงค์หันมาบอกตำรวจโดยเร็ว
นายตำรวจยศร้อยตรีทำหน้าเคร่ง
ผมได้รับฟังเรื่องราวร้องทุกข์จากคุณภูสันต์จากทางโทรศัพท์แล้ว เขาว่าเขามีหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง และถ้าจะว่ากันตามกฎหมายแล้ว คุณภูสันต์เองก็มีสิทธิ์ในตัวเด็กมากกว่าคุณอีก เพราะว่าเด็กเกิดมาในสมรส ตอนนั้นคุณกมลชนกยังคงได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของเขาอยู่ ถึงคุณจะมาจดทะเบียนสมรสใหม่ทีหลังก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ว่าด้วยตัวบทกฎหมาย...คุณภูสันต์เป็นบิดาที่ถูกต้อง และก็มีสิทธิ์อันชอบธรรม แถมเขายังมีฐานะร่ำรวย น่าจะเลี้ยงดูเด็กได้เป็นอย่างดี ถึงต่อให้เขาไม่แต่งงานใหม่ก็ตาม
วรงค์ไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้ยินเช่นนั้น
แต่เด็กเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผม เขาควรจะอยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริงสิ ถึงจะถูก วรงค์พูด
แต่พวกคุณสองคนก็ได้ลงชื่อในใบสละสิทธิ์ไปแล้ว
นั่นเพราะพวกเราถูกเขาบังคับ
นายตำรวจยศร้อยตรีถอนใจ
ถ้าคุณดึงดันที่จะเอาแบบนั้นให้ได้ ก็เชิญไปร้องเรียนกับศาลเอาเอง แต่ผมไม่แน่ใจว่า ศาลจะยอมเห็นใจพวกคุณสองคนหรือเปล่า เพราะพวกคุณเป็นฝ่ายผิดกับเขาก่อน ผมว่าเพื่อให้เรื่องจบลงอย่างสันติ พวกคุณสองคนควรจะวางมือแค่นี้ดีกว่า มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ พวกคุณสองคนต่างก็ยังหนุ่มสาวทั้งคู่ ยังสามารถจะมีลูกได้อีก เพราะงั้นพวกคุณควรตัดใจยกเด็กคนนี้ให้เขาไปดีกว่านะครับ เรื่องทุกอย่างจะได้จบลงด้วยดี ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ต้องเสียอะไร
หนุ่มสาวพากันอึ้งไปทั้งคู่
ถ้าไม่มีอะไร ผมขอตัวไปดูเด็กก่อนนะครับ ภูสันต์หันไปพูดกับนายตำรวจหนุ่มอย่างสุภาพและไว้ตัว
เชิญครับ
แล้วคนทั้งหมดก็รีบจากไป
ส่วนนายตำรวจทั้งสองก็คุมตัวสามีภรรยาไปด้วยกัน
ภูสันต์ยกตัวลูกสาวชูสูงขึ้น เด็กน้อยก็ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ ท่าทางดูจะชอบที่เขาทำแบบนั้น
ลูกพ่อ เจ้าคือลูกสาวคนเดียวของนายภู ดังนั้นเจ้าจะต้องเก่งกล้าสามารถกว่าผู้หญิงชาวบ้านทั่วไป พ่อจะสอนเจ้าหัดขี่ม้าและยิงปืน และให้พวกลูกน้องสอนเทคนิคศิลปะการต่อสู้ ก็เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากคนที่คิดจะทำร้าย พอโตขึ้น พ่อก็จะส่งเจ้าให้ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ลูกจะต้องคว้าปริญญาสักใบกลับมาให้พ่อชื่นใจให้ได้นะ
ภูสันต์พูดยิ้มๆด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าจะต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ให้กลายเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาได้
เกศราเองก็พลอยมองภาพสองพ่อลูกยิ้มๆ
ฉันจะให้ลูกๆของเธอไปด้วย พวกเขาจะได้กลับมาช่วยงานฉันในภายหลังได้ ภูสันต์หันมาบอกหญิงสาว
เกศราไม่คาดฝัน เธอทำท่าจะก้มลงกราบแทบเท้าของเขา แต่ภูสันต์จับมือเธอไว้ก่อน
ดิฉันขอบคุณในความเมตตาของท่านมาก ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรได้อีก แต่ดิฉันขอสัญญาว่าจะทำงานรับใช้ท่านด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี แม้ต้องตายแทนก็ยอม
ไม่เป็นไร อย่าคิดมากไปเลย ฉันเองก็ยังอยากให้เธอมาทำหน้าที่เป็นแม่ของยายหนู
เกศราจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
ภูสันต์รู้สึกตัวว่าเขาพูดชวนให้เข้าใจผิดอยู่
ฉันหมายถึง...ฉันเป็นแค่ผู้ชาย บางอย่างคงจะทำได้ไม่ดีเท่าผู้หญิง ก็เลยอยากให้เธอรับบทเป็นแม่อุปถัมภ์ให้กับยายหนูของฉัน เธอคงเข้าใจนะ
เกศราอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า
ฉันตั้งใจว่าจะไม่แต่งงานอีกแล้ว ฉันไม่อยากจะให้เธอตั้งความหวังแบบผิดๆ มันจะเป็นการทำร้ายเธอได้ ถึงต้องรีบพูดออกตัวไว้ก่อน เพราะต่อไปนี้อาจจะมีคนเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราผิดไป เธอก็อย่าไปฟังเขา แล้วเก็บมาคิดมากล่ะ
ค่ะ ดิฉันเข้าใจ เกศราได้แต่หรุบตามองพื้น แต่นายภูเป็นผู้ชายอยู่ดี จะทนเรื่องแบบนี้ไหวหรือคะ?
ถ้าฉันอดไม่ไหวจริงๆ ก็จะไปหาผู้หญิงในเมือง
ก็ไม่สะดวก...อีกอย่าง...เราก็อยู่ใกล้กันแบบนี้แล้ว
ภูสันต์มองใบหน้าของเธอนิ่งคิดอยู่
แปลว่า...เธอเต็มใจ ทั้งๆรู้งั้นหรือ?
เกศราพยักหน้า
ดิฉันเองก็เพิ่งตกพุ่มหม้าย สามีตายไปยังไม่ครบปี ก็ไม่สมควรแต่งงานค่ะ แต่ดิฉันยังสาวยังสวย จะให้ดิฉันอยู่เฉยๆแบบนี้ โดยไม่ให้มีอะไรกับใครเลย เป็นแรมเดือนแรมปี นายภูไม่สงสารบ้างหรือคะ?
ภูสันต์เข้าใจดี
ถ้าเธอตกลงใจเช่นนั้น ฉันก็อนุญาตให้เธอเข้าออกห้องของฉันได้ทุกเมื่อและตลอดเวลา
เกศราหน้าแดงเรื่อ
ขอบคุณค่ะ
เวลาผ่านมาอีกหลายปี จนภูริศาสามารถขึ้นขี่หลังม้า โดยบิดาเป็นคนคอยช่วยอุ้มส่งขึ้นไป เพราะเธอยังเล็กอยู่
ภูสันต์ภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มาก จนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า สองพ่อลูกคู่นี้สนิทกันมากแค่ไหน เขาเอาอกเอาใจเธอสารพัด ไม่ว่าเธออยากได้อะไร เขาจะหามาให้ทุกอย่าง
จนกระทั่งได้เวลาที่ต้องส่งลูกสาวไปเรียนหนังสือ เขาคิดตรองดูแล้ว หากให้เรียนในจังหวัด ภูริศาจะไม่ได้ความรู้เท่าที่ควร จึงได้ตัดสินใจส่งไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ แน่นอนว่าเขาคิดจะส่งลูกๆสามคนของเกศราไปด้วย เพื่อให้คอยเป็นเพื่อนเล่น และติดตามรับใช้คอยดูแลช่วยเหลือกันไป
ไหนๆก็แล้ว ภูสันต์จึงตัดสินใจลงทุนซื้อบ้านในกรุงเทพ และอพยพย้ายครอบครัวไปด้วยกันหมด ส่วนงานทางนี้ก็ทิ้งให้กรรชัยคอยช่วยดูแลแทน เพราะเป็นคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด
บ้านหลังใหม่ของเขาใหญ่โตสวยงามมาก สมตามความตั้งใจของเขาเอง เด็กๆพากันตื่นเต้น ภูริศาถึงกับวิ่งไปรอบบ้านก็เพื่อสำรวจดู
คุณพ่อคะ ที่นี่เป็นบ้านใหม่ของเราหรือคะ? ภูริศาส่งเสียงร้องถามดังๆ
ใช่แล้ว ที่นี่เป็นบ้านของเรา ภูสันต์บอก
แล้วห้องไหนเป็นห้องของลูกหนูคะ? ภูริศาถาม
ลูกอยากได้ห้องไหนกันล่ะ?
ภูริศาเอียงหน้าครุ่นคิด
งั้นเราขึ้นไปดูกัน ภูสันต์ชวนลูกสาว
ภูริศารีบวิ่งนำไปก่อนใคร ลูกๆของเกศราเองก็รีบตามหลังเธอไปด้วยกันหมด
ภูสันต์หัวเราะ ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับเกศรา เพื่อให้เธอตามเขามาด้วย
ภูริศาวิ่งขึ้นมาชั้นสองก็หันซ้ายหันขวาว่าจะวิ่งไปทางไหนดี
เธอลองวิ่งไปห้องทางซ้ายและเปิดดู
ว้าว! ห้องนี้สวยจัง เด็กหญิงรู้สึกพอใจอยู่
คุณหนู ไงๆห้องใหญ่ที่สุดก็ควรจะเป็นของท่านนะครับ คุณหนูต้องเลือกห้องที่เล็กกว่าคุณพ่อ สานนท์เตือนเธอด้วยเสียงสุภาพ ปีนี้เขาอายุสิบสองแล้ว มีความคิดอ่านรอบคอบกว่าเด็กหญิงมากนัก
แล้วห้องนี้มันใหญ่ไปรึไง? ภูริศาย้อน
ไม่ทราบครับ แต่คุณหนูน่าจะลองถามคุณพ่อก่อน ให้คุณพ่อตัดสินใจเลือกห้องของท่านแล้ว คุณหนูก็ค่อยเลือกห้องที่ดีที่สุดที่เหลืออยู่
ภูริศาทำท่านิ่งคิด
ภูสันต์เดินเข้ามาหลังจากนั้น
คุณพ่อคะ คุณพ่อจะอยู่ห้องไหนหรือคะ? ภูริศาถามเขาด้วยความอยากรู้
นั่นซีนะ คงต้องขอดูรอบๆก่อนล่ะ แต่พ่อชอบห้องที่มีระเบียงกว้าง และถ้ามีห้องน้ำส่วนตัวได้ก็ยิ่งดี ภูสันต์พูดยิ้มๆ
งั้นก็ห้องเดอลุกซ์น่ะซีคะ? ภูริศาว่า
ใช่ ห้องเดอลุกซ์ ภูสันต์พูดขำๆ
งั้นเราไปหาห้องให้คุณพ่อก่อนดีกว่า เด็กหญิงชวน จากนั้นก็วิ่งออกไปเป็นคนแรก
มีห้องตามที่ภูสันต์ว่าไว้ ทั้งกว้างใหญ่และโอ่อ่า ดูสมกับฐานะเจ้าของบ้านอย่างเขาดี
งั้นคุณพ่อก็อยู่ห้องนี้ไป ส่วนลูกหนูจะอยู่ห้องรองลงมา ภูริศาพูด
แล้วห้องไหนล่ะ? ภูสันต์ถาม
ห้องนู้นค่ะ ภูริศาชี้ไปห้องที่อยู่ด้านตรงข้าม
งั้นขอพ่อไปดูหน่อย
ไม่ได้ค่ะ ห้องนี้ผู้ชายห้ามเข้าเด็ดขาด
ภูสันต์เกือบขำออกมา
อ้อ มีการตั้งเขตหวงห้ามกันด้วย แบบนี้พวกเราก็แย่สิ จริงไหม? เขาหันไปพูดกับเด็กชายทั้งสองคนอย่างรวมเป็นพวกเดียว
ไม่มีใครตอบ
งั้นห้องที่เหลือ ใครอยากอยู่ห้องไหนก็ไปเลือกเอาเองได้เลยนะ ลุงจะให้เวลาทุกคน พอบ่ายโมงก็ให้ลงมาข้างล่าง ลุงจะพาทุกคนไปทานข้าวข้างนอก ภูสันต์บอกกับทุกคน
วันนี้เราจะกินข้าวข้างนอกหรือคะ? ภูริศาตาโต
แหงล่ะ ก็เราเพิ่งจะมาถึง ยังไม่มีเวลาตระเตรียมอะไร ดังนั้น วันนี้เราทานข้าวนอกบ้านกันไปก่อน แล้วพรุ่งนี้น้าเกศราเขาถึงจะเข้าครัวทำกับข้าวให้เรากินได้ ทุกคนเห็นว่าไง?
แจ๋ว ภูริศาพูด
ภูสันต์ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเดินลงบันไดไปข้างล่าง
ภูนต์เดินลงมาข้างล่างก็พบเบี้ยวมายืนดักรอเขาอยู่
นายภูขรั่บ
มีอะไร?
คือว่า...มีเพื่อนข้างบ้านมาสอดแนมถามเรื่องของนายภูด้วยขอหรั่บ เบี้ยวรายงานเจ้านายให้รู้ตัวไว้
เขาถามทำไม? ภูสันต์ถาม
เขาบอกว่า เจ้านายเขาอยากจะฮู้จักกับนายภู เลยให้เขามาสอบถามเรื่องของนายภู เบี้ยวตอบ
แล้วเราตอบไปว่าไง? ภูสันต์ถาม
กระผมไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ก็ตอบไปว่าบ่ฮู้ๆ แล้วก็รีบมารอถามนายภูว่าจะเอายังไง
ก็ทำไมไม่ถามนายกรรชัยเขาล่ะ? ภูสันต์พูดด้วยน้ำเสียงรำคาญอยู่
นายกรรชัยบ่อยู่ ก็นายภูให้เขาเฝ้าไร่อยู่ไม่ใช่หรือ?
ภูสันต์จึงนึกขึ้นได้
เออ...จริงด้วย ฉันลืมไปสนิท ว่าแต่ว่า...พอไม่มีนายกรรชัยสักคนแล้ว เราก็ตัดสินใจทำอะไรไม่ได้รึไง? ต่อไปต้องให้ฉันสั่งให้นั่งก่อนกินข้าวด้วยหรือเปล่า
เบี้ยวหน้าจืดไปสนิท
ก็เขามาถามเรื่องนายภู ไม่ได้ถามเรื่องกระผมนี่ขอรับ ถ้าถามเรื่องกระผม กระผมก็ตอบได้ แต่นี่เขาถามเรื่องนายภู ถ้ากระผมตอบผิดไป เดี๋ยวนายภูก็ไล่เตะกระผมอีก
ภูสันต์ฟังแล้วหมั่นไส้
งั้นต่อไปนี้...ถ้ามีใครมาถาม หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตอบไปตามตรงก็ได้ แต่ถ้าฉันสั่งว่าห้ามพูด เราก็อย่าพูดแล้วกัน คงเข้าใจนะ
ขอรับ นายภู
ถ้าไม่มีอะไร ก็ไปทำงานของเราต่อได้
เบี้ยวทำท่าจะหมุนตัวจากไป
อ้อ เดี๋ยว ภูสันต์ลืมถามไป
เบี้ยวหันมารอฟังคำสั่ง
ว่าแต่ใครถาม?
เบี้ยวเกาหัวแกรก เพราะไม่ได้ถามชื่อไว้เสียด้วย
ฉันหมายถึงว่าคนที่ถามเขาอยู่บ้านหลังไหน?
อ๋อ บ้านทางซ้ายมือขอรับ ที่มีต้นมะม่วงอยู่ข้างรั้วเราพอดิบพอดี
ภูสันต์เข้าใจ
ไม่มีอะไร ไปได้แล้ว
เบี้ยวจึงไปทำงานต่อ
ภูสันต์กำลังจะเดินมาหน้าบ้าน เมื่อพลวิ่งตรงมาหา
นายภูขอรับ
ภูสันต์รีบยกมือห้าม ก่อนที่เขาจะทันเอ่ยปาก
ฉันขอทายนะ ว่ามีเพื่อนบ้านมาสอดแนมถามเรื่องของฉัน แล้วแกก็ตอบไม่ได้ใช่ไหม?
เอ๊ะ? นายภูรู้ได้ยังไง? หรือนายภูมีญาณทิพย์ พลชักรู้สึกทึ่ง
งั้นฉันขอทายอีกนะว่า เป็นคนที่มาจากบ้านทางขวาที่มีต้นทุเรียนอยู่ข้างรั้วเราใช่ไหม?
โอ้โฮ นายภูเก่งจังเลยครับ เดาแม่นเหมือนตาเห็น
ก็คนทางซ้ายเพิ่งจะถามเดี๋ยวนี้เอง แต่คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องมาถามฉัน ลองคิดดูเอาเองบ้าง ภูสันต์พูดห้วนๆ
จากนั้นเขาก็เดินไปอย่างไม่สนใจอะไร ทิ้งให้พลยืนทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
|