หน้า 1 2 3 4 5 7 8 9 10 11
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๖…

ภูสันต์ดูมีอาการงุนงงอยู่
“โจรลักพาตัวเด็ก?” เขาจ้องมองเธอนิ่งอยู่
“ก็ใช่น่ะซี ไม่ต้องทำเป็นไขสือ พวกเราแอบได้ยินที่คุณพูดหมดแล้ว เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ”
ภูสันต์หันไปมองภูริศา เธอจ้องมองบิดาอย่างตกใจ
ชายหนุ่มก้มตัวลง ยกมือลูบแก้ม
“อย่าไปฟังนะ สองคนนี้เป็นแค่คนเสียสติ พ่อเป็นพ่อแท้ๆของลูกหนู” ภูสันต์บอกเธอย้ำหนักแน่น
มนสิกานต์มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
“นี่คุณล้างสมองเด็กคนนี้ให้คิดแบบนี้เองหรือคะ? มิน่าล่ะ”
“หุบปาก!” เขาหันมาตวาดใส่
วิชุดาดูจะกลัวขึ้นมา เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ภูสันต์พยายามระงับโทสะเต็มที่
“เกศรา คืนนี้ช่วยพาลูกหนูไปนอนที่ห้องเธอนะ” เขาหันไปสั่งหญิงสาว
“ค่ะ นายภู” เกศรารับคำ และหันมาจับมือภูริศา จากนั้นก็พาเด็กๆทั้งหมดรีบไปนอนเสีย
“กรรชัย จับสองคนนี้ไปขังไว้ก่อน” ภูสันต์สั่ง
“ครับ” กรรชัยรับคำสั่ง
สองสาวดูตกใจมาก
แต่ก่อนที่กรรชัยจะเข้าถึงตัว มนสิกานต์ก็ชักมีดออกมาจ่อตรงหน้าเขา ทำให้เขาต้องชะงักถอยหลังออกมาเล็กน้อย
ภูสันต์เห็น ก็รีบสั่งให้กรรชัยถอยออกมา จากนั้นเขาก็เดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวอย่างไม่ได้นึกกลัวมีดเล่มนั้น
สองสาวต่างก็ก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเองก็เดินดาหน้าเข้าหาอย่างไม่กลัวตายเช่นกัน
พอได้ระยะห่าง มนสิกานต์รีบจ้วงมีดแทงออกไป ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบพ้นคมมีด ขณะเดียวกันก็ใช้สันมือข้างหนึ่งฟันแขนของเธอลงไป จนมีดเล่มนั้นหลุดมือตกพื้นไป
แต่มนสิกานต์ก็เตะผ่าหมากออกไปทันที ภูสันต์ไม่ทันคิดว่าเธอจะสู้ต่อ ก็โดนเข้าไปเต็มๆ จนตัวงอล้มลงไป
กรรชัยเห็นก็รีบเข้าไปจับตัวเธอล็อกเอาไว้แน่นมาก ไม่ยอมให้มีโอกาสดิ้นหลุดได้
“รีบหนีไป!” มนสิกานต์บอกเพื่อน เพราะนี่เป็นโอกาสอันดีแล้ว
วิชุดารีบวิ่งไปที่ประตู ภูสันต์คว้าขาของเธอไม่ทัน
“บ้าฉิบ! ใครก็ได้ รีบจับคนร้ายเร็ว!” ชายหนุ่มตะโกนเท่าที่พอจะทำได้
มนสิกานต์ภาวนาขอให้วิชุดาหนีสำเร็จ และรีบตามคนอื่นมาช่วยเธอโดยเร็ว
แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่า เธอจะมีชีวิตอยู่รอดไปจนถึงเวลาที่จะมีคนมาช่วยหรือเปล่า

"นายภู ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” กรรชัยถามอย่างเป็นห่วงอยู่ เพราะท่าทางชายหนุ่มจะโดนหนักอยู่ไม่น้อย
“ระยำจริงๆ ฉันไม่เคยจะต้องเสียฟอร์มขนาดนี้มาก่อน” ภูสันต์พูดด้วยความเจ็บใจมาก แถมยังเจ็บตรงที่โดนเธอเตะอยู่ไม่หาย
“แต่เก่งแบบนี้ ก็เหมาะที่จะมาเป็นนายผู้หญิงของเราไม่ใช่หรือครับ?” กรรชัยพูดยิ้มๆ
“เมื่อกี้ฉันแค่ประมาทไปหน่อย เพราะเห็นเป็นผู้หญิง ก็เลยไม่ทันคิดระวังตัว เขาว่าผู้หญิงเปรียบเหมือนอสรพิษน่ะจริงเลย” ภูสันต์จำต้องยอมรับเพิ่งจะได้รู้ซึ้งเดี๋ยวนี้เอง
“แต่ว่าอีกคนที่หนีไปได้นี่ จะทำไงดี เขาต้องรีบไปตามคนมาเล่นงานเราแน่” กรรชัยพูดอย่างวิตก
“กลัวอะไร เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด พวกนั้นอยากจะบุกรุกเข้ามาเอง ฉันควรจะจับส่งตำรวจด้วยซ้ำ”
กรรชัยพยักหน้าอย่างเห็นจริง
แต่จู่ๆสาวใช้ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“แย่แล้วค่ะ ตำรวจบุกเข้ามา”
ยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงปืนดังลั่นไปทั่ว
“นี่มันอะไรกันโว้ย!” ภูสันต์ตะโกนหัวเสีย
“นายภู!” กรรชัยรีบส่งปืนให้เขา
“ไม่ต้อง!” เขาพูดห้วนๆ เดินออกไปทั้งที่ไม่ได้พกพาอาวุธอะไรทั้งสิ้น
เขาเดินออกมาถึงห้องโถงที่มีเสียงปืนดังเปรี้ยงปร้าง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง
ทั้งสองฝ่ายชะงักเล็กน้อย
“พวกคุณเป็นตำรวจไม่ใช่รึไง? จู่ๆก็เที่ยวบุกรุกเข้ามาไล่ยิงคนบริสุทธิ์ในบ้านเขาแบบนี้ อยากจะโดนย้ายกันมากนักใช่มั้ย?”
เหล่าตำรวจหันไปมองหน้ากันเองครู่หนึ่ง
“เราได้รับแจ้งความว่า คุณลักพาตัวเด็กเล็ก และยังจับตัวลูกสาวท่านนายพลมนูญมากักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ ผมว่าคุณสั่งให้พวกลูกน้องวางปืนลง และยอมมอบตัวกับเราดีๆดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อ” นายตำรวจคนหนึ่งที่เป็นผู้นำทีมกล่าวออกไป
ภูสันต์หัวเราะออกมา
“พวกคุณมันบ้าแล้ว จะกล่าวหาทั้งที ก็ควรจะมีหลักฐานด้วย ไหนล่ะ หลักฐานที่แสดงว่าผมลักพาตัวเด็ก” ภูสันต์ย้อนถาม
“ฉันนี่ไงล่ะคะ ฉันเป็นพยานได้ ฉันเห็นกับตาค่ะ คุณตำรวจ เขาจับตัวเด็กขังเอาไว้จริงๆ แถมยังเอาเด็กที่ไหนไม่รู้มาสวมรอยตบตาคนทั้งเมืองว่าเป็นลูกตัวเองอีกด้วย ฉันได้ยินที่เขาพูดเองกับหู เขายังคิดจะฆ่าพ่อของเด็กที่แท้จริงอีกด้วย” วิชุดาบอกกับตำรวจโดยเร็ว
ภูสันต์จ้องมองเธออย่างเหลือเชื่อ
“ว่าไงครับ? คุณภูสันต์” นายตำรวจคนนั้นหันมาถาม
“ดี ดีมาก นี่ไม่ทราบว่าพวกคุณมาแอบฟังพวกเราคุยอะไรกันไปบ้าง แต่ดูเหมือนพวกคุณจะฟังไม่ได้ศัพท์ ก็จับเอาไปกระเดียดเต็มที่ หาว่าผมเป็นโจรลักพาเด็ก และยังเป็นฆาตกรที่คิดจะฆ่าพ่อเด็กอีกต่างหาก”
“ก็ฉันได้ยินแบบนั้นจริงๆนี่” วิชุดาเถียง
“งั้นผมขอถามหน่อย ผมออกจะร่ำรวยล้นฟ้าถึงขนาดนี้แล้ว ผมยังจะลักพาตัวเด็กไปทำไมอีก พวกคุณคิดว่าผมเป็นแค่ไอ้โรคจิตที่พอมีเวลาว่างก็คอยหาเรื่องแกล้งคนอื่นเล่นๆสนุกๆหรือยังไง พวกคุณเห็นผมโง่มากนักหรือไง อยู่ดีไม่ว่าดี จึงแกว่งเท้าหาเสี้ยนแบบนั้น”
ทุกคนพากันอึ้งไปตามกัน ต่างก็เพิ่งนึกขึ้นได้ จึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องออกจะแปลกอยู่ไม่น้อย
“งั้นคุณจะอธิบายเรื่องที่พวกฉันแอบได้ยินว่ายังไง คุณเป็นคนพูดออกมาเองว่า เด็กไม่ใช่ลูกของคุณ ตอนงาน...ใครๆก็เห็น สองคนนั่นต่างหากที่เป็นพ่อแม่ที่แท้จริง” วิชุดาถาม ซึ่งคำถามของเธอเองก็ชวนให้ขบคิดอยู่เช่นกัน
“คุณภูสันต์?” นายตำรวจหันมามองเขาอีก เหมือนกับต้องการคำอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง
ภูสันต์รู้ดีว่าตนเองไม่มีทางเลี่ยงได้อีก
“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวผมจะเอาหลักฐานทั้งหมดมาให้ดู จะได้หายข้องใจกัน พวกคุณทั้งหมด...ตามผมมาสิ”
ชายหนุ่มพูดจบ ก็หมุนตัวออกเดินนำไปก่อนใคร
เหล่าตำรวจหันมามองหน้ากันเอง ก่อนที่จะพากันเดินตามหลังของเขาไป

ภูสันต์เปิดเซฟและหยิบซองเอกสารออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าของทุกคน เขาเปิดซองออกมา และหยิบเอกสารสำคัญทางราชการออกมาทีละใบ ซึ่งมีทั้งใบแจ้งเกิดที่ระบุชื่อตัวเขาเองเป็นบิดา มีทั้งใบทะเบียนสมรสและใบหย่า รวมทั้งใบสัญญารับรองบุตรจากสำนักงานกฎหมายเป็นผู้รับรองอย่างถูกต้อง
ตำรวจนายหนึ่งหยิบใบเอกสารแต่ละใบมาพิจารณาดู ก็คิดว่าน่าจะเป็นของจริงไม่ผิดแน่
“นี่เป็นหลักฐานที่แสดงว่า ภูริศาเป็นลูกสาวของผมที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาเกิดในระหว่างที่ผมกับภรรยาเก่ายังไม่ได้หย่าขาดกัน ตามกฎหมายแล้ว...ผมจึงเป็นพ่อที่ถูกต้อง” ภูสันต์พูดกับทุกคนในห้องให้รับรู้กันถ้วนทั่ว
คนอื่นๆมองหน้ากันเอง คล้ายไม่แน่ใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพากันเข้ามาดูหลักฐานที่ว่า วิชุดาเห็นหลักฐานเหล่านั้นก็หน้าจืดไปสนิท เพราะเธอไม่คิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้
“แต่สรุปแล้ว ภรรยาคุณก็ไม่ได้เสียชีวิตอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่คุณหย่ากับเธอไปนานแล้ว และคุณก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆของเด็กอยู่ดีใช่ไหมครับ?” นายตำรวจที่เป็นคนนำทีมถามเขา
ภูสันต์หน้าบึ้ง
“ใช่ เป็นอย่างที่คุณพูดทั้งหมดแหละ จะพูดตรงๆว่าเด็กเป็นลูกชู้ก็ได้ แต่ผมขอให้พวกคุณหุบปากไว้ดีกว่า เรื่องนี้มันฟังไม่ค่อยดี ลูกสาวผมไม่ทราบเรื่องนี้ ถ้ารู้เข้า แกจะสะเทือนใจมาก ตอนนี้แกเองก็พอระแคะระคายอะไรบ้างแล้ว เพราะมีใครบางคนดันปากสว่างคาบข่าวไปบอกแกเข้า แต่แกยังไม่ยอมรับความจริงเท่านั้น ช่วงนี้แกก็เลยดูอารมณ์ร้ายผิดปรกติ”
ทุกคนจึงพากันอึ้งไปกันหมด วิชุดาได้ฟังก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา เพราะเธอไม่รู้ความจริง จึงได้บอกเด็กเช่นนั้น
“ตอนนั้นพอแกคลอดออกมา ผมก็รีบพาแกจากมา แล้วก็ค่อยส่งทนายไปจัดการเรื่องหย่า พร้อมให้พวกเขาสองคนเซ็นรับรองว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของผมอีกเป็นอันขาด มันก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่น่าจะสมน้ำสมเนื้อดีไม่ใช่หรือครับ แต่สองผัวเมียคู่นั้นน่ะสิ ยังไม่ยอมเลิกรา พยายามจะมาลักพาตัวลูกสาวผมไปหลายครั้งแล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ ลองไปเช็กดูที่สน.ที่พวกเขาเคยถูกจับขึ้นโรงพักเมื่อหลายปีก่อนก็ได้” ภูสันต์ระบุชื่อสน.แห่งนั้นด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถไปตรวจสอบความจริงได้ทุกเมื่อตลอดเวลา
เหล่าตำรวจจึงมีท่าทางดูพูดไม่ออกไปตามกัน เมื่อเริ่มเชื่อได้แล้วว่าตนเองหลงเข้าใจผิดไปจังๆ
“ผมเสียใจจริงๆครับ พวกเราไม่ทราบจริงๆว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้” หัวหน้าทีมตำรวจกล่าวอย่างรู้สึกเสียใจจริงๆ
“ครับ สาเหตุก็เพราะพวกคุณไปฟังความคนอื่นเอาข้างเดียว และพวกคุณก็คิดอยู่แล้วว่า ผมกับลูกน้องเป็นกลุ่มนักเลงหัวไม้ ก็เลยพร้อมใจที่จะเชื่อข่าวลือผิดๆที่เกี่ยวกับผมทั้งหมด”
เหล่าตำรวจต่างก็หน้าแดงไปกันหมด
“แต่วางใจเถอะ ผมจะไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่ภูริศาไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของผม ผมเองก็ต้องรักษาหน้าของตัวเอง จะให้บอกกับคนอื่นได้ไงว่า ผมมันก็แค่ไอ้งั่งที่ถูกเมียสวมเขาให้ และผมก็เกรงว่าเรื่องนี้จะไปสร้างความเสียหายให้กับเด็กในภายหลังอีกด้วย”
“ครับ ผมเข้าใจดี และขอบคุณที่ไม่เอาเรื่อง” หัวหน้าทีมตำรวจกล่าว
“ส่วนเรื่องที่ผมจับตัวคุณมนสิกานต์ไว้ ผมคิดว่าผมเองก็ได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ผมเองก็กำลังคิดจะส่งตัวเธอกลับบ้านไปเหมือนกัน แต่ผมมาคิดดูแล้ว ถ้าจะให้ผมขับรถไปส่งคุณหนูเองก็ย่อมได้ แต่ถ้ามีคนเห็นว่าคุณหนูนั่งรถมากับผู้ชาย คุณหนูอาจตกเป็นขี้ปากได้ ยิ่งถ้าจะให้นั่งรถตำรวจไปกับพวกคุณกลางดึกตอนนี้ คงจะยิ่งทำให้มีคนพากันสงสัยมากขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในคืนนี้ก็คงจะปิดกันไม่มิดอีกต่อไป ไม่เพียงแต่พวกคุณและผมจะเดือดร้อน ท่านเองก็จะเสียหาย เพราะอาจมีคนกล่าวหาว่า ท่านใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น เสี้ยมสอนให้ลูกสาวทำตัวเหมือนโจร แบบนี้ยิ่งไม่ดีใหญ่แน่ ดังนั้นผมจึงคิดว่า ควรจะให้ท่านนายพลเป็นฝ่ายมารับลูกสาวด้วยตัวเอง น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม และดีที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน หรือพวกคุณมีความเห็นว่ายังไงครับ?” ภูสันต์พูดกับทุกคนเหมือนจะขอหารือด้วย
เหล่าตำรวจต่างหันมามองหน้ากันเองเป็นครู่
“ก็ดีครับ จริงอย่างที่คุณว่า คงจะดีกว่าจริงๆ ถ้าจะให้ท่านนายพลมารับคุณมนสิกานต์ด้วยตัวเองน่าจะดีที่สุด คงจะเป็นเรื่องไม่เหมาะที่จะให้คนระดับลูกสาวนายพลนั่งรถตำรวจไปราวกับโจรผู้ร้าย ถ้าท่านทราบก็อาจไม่ชอบใจ คุณมนสิกานต์เองก็จะพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียง มีหวังพวกผมคงถูกเบื้องบนตำหนิลงมาแน่” หัวหน้าทีมตำรวจกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย
“ถ้างั้น...ผมคงต้องขอฝากให้พวกคุณช่วยไปเรียนท่านให้รับทราบไว้ตามนี้ด้วยนะครับ ท่านจะได้ไม่เข้าใจผิดไปอีกคน” ภูสันต์พูด
หัวหน้าทีมตำรวจรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะรีบไปเรียนให้ท่านนายพลทราบแน่ๆ จากนั้นพวกเขาก็กล่าวลา โดยพาวิชุดากลับไปด้วยกัน
กรรชัยยิ้มออกมา และชูนิ้วให้เจ้านาย เพราะแบบนี้เท่ากับว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นอกจากจะส่งหญิงสาวกลับบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว ยังจะได้มีโอกาสสนทนาเพื่อผูกไมตรีกับนายพลมนูญอีกด้วย

ต่การไม่ได้เป็นดังที่ชายหนุ่มคาดไว้ เพราะท่านนายพลไม่ยอมมารับลูกสาวด้วยตนเอง กลับส่งจดหมายฝากลูกน้องมาขอขมาแทน และถ้าหากเขายังมีความจริงใจพอ ก็น่าจะปล่อยลูกสาวเขาออกมาเอง
“บัดซบ!” ภูสันต์โมโหเดือด ขว้างจดหมายลงบนโต๊ะ
“มีอะไรหรือครับ?” กรรชัยถาม เพราะเขาไม่ได้อ่านข้อความในจดหมาย จึงไม่ทราบว่าท่านนายพลเขียนไว้ยังไงกันแน่
“ท่านนายพลไม่ยอมมารับลูกสาวเอง แต่มาบอกจะให้ฉันปล่อยลูกสาวของท่าน ทำแบบนี้มันดูถูกกันนี่ คงจะเห็นว่าคนอย่างฉันไม่มีค่าพอซีนะ ตอนงานเลี้ยงก็เหมือนกัน ฉันอุตส่าห์ส่งบัตรเชิญไป ตัวไม่มา แต่ส่งลูกสาวให้มาดูลาดเลาแทน คงคิดว่าถ้าให้คนอื่นรู้ว่ามาคบค้ากับคนอย่างฉัน ตัวเองก็จะต้องพลอยเสื่อมเสียเกียรติ์ไปด้วยละมัง แบบนี้มันดูถูกกันมากเกินไปแล้ว” ภูสันต์พูดด้วยสีหน้าดูไม่พอใจมาก
“แล้วนายภูจะเอายังไงครับ?” กรรชัยถาม
“แล้วแกคิดว่าฉันควรทำยังไง?”
“ผมคิดว่า นายภูอย่าไปยอมง่ายๆเป็นอันขาด ถ้าเกิดคนอื่นรู้เข้า พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ไหน พวกเขาเป็นฝ่ายเข้ามาหยามเกียรติ์ของเราถึงถิ่นเชียวนะครับ เรารึอุตส่าห์ให้เกียรต์เขาเต็มที่ แต่เขากลับมาทำหมางเมินใส่ แบบนี้เราต้องฮึดสู้บ้าง ให้พวกเขารู้ว่าคนอย่างเราก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน”
ภูสันต์เองก็คิดเช่นเดียวกับชายหนุ่ม
“ดี งั้นเดี๋ยวฉันจะเขียนจดหมายกลับไป ให้คนรถของท่านเอาไปให้ ดูซิว่า ท่านนายพลจะทำใจดำ ไม่คิดดูดายลูกสาวบ้างก็ให้มันรู้ไป”
พูดแล้ว ภูสันต์ก็นั่งเขียนจดหมาย โดยมีกรรชัยยืนรออยู่ข้างๆ
จู่ๆสาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามายอบกาย
“มีอะไร?” ภูสันต์เงยหน้าถาม เขายังเขียนจดหมายไม่จบเลย
“มีคนให้นำจดหมายมามอบให้นายกรรชัยค่ะ”
สองหนุ่มต่างมองหน้ากันเอง ก่อนที่กรรชัยจะเข้าไปรับจดหมายมาเปิดดู
“ใครหรือ?” ภูสันต์ถาม เพราะรู้สึกแปลกๆอยู่
กรรชัยทำหน้านิ่ว
“เสี่ยไพศาลครับ เขาบอกว่า มีธุระสำคัญอยากคุยกับผมให้ได้ในวันนี้”
“เสี่ยไพศาล? ใครหรือ?” ภูสันต์ไม่รู้จัก เขายังจำชื่อพวกคนที่มีอิทธิพลในกรุงเทพนี้ได้ไม่หมด
“ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเป็นคนนึงที่มาร่วมในงานนะครับ คงจะเห็นเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าแต่เขามีอะไรกับผมกันแน่” กรรชัยชักสังหรณ์ใจ
ภูสันต์ยิ้ม
“จะมีอะไร ถ้าเขาอยากจะคุยกับฉัน ก็คงมาชวนคุยกันตรงๆ ไม่จำเป็นต้องคุยกับแกก็ได้”
“หมายความว่า...?”
“ก็หมายความว่าเขามีธุระกับแก ไม่ใช่กับฉัน เขาคงจะเห็นแกเป็นคนมีฝีมือน่าสนใจ อยากจะได้ไว้ใช้งาน เลยคิดจะมาขอซื้อตัวน่ะซี”
กรรชัยอึ้งไปเล็กน้อย
“แต่นั่นก็เป็นแค่การคาดเดาของฉันเอง จะใช่อย่างงั้นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าไงแกจะลองไปฟังเขาพูดดูก่อนก็ได้ ฉันอนุญาต”
“แล้ว...ถ้าใช่ล่ะครับ? นายภูจะว่าไง?”
“ฉันจะว่าอะไรได้ ถ้าแกอยากจะไปจริงๆ ฉันจะไปห้ามได้ยังไง แต่ฉันคงจะเสียดายแกมากเลยแหละ เพราะลูกน้องเก่งๆที่ซื่อสัตย์แบบแก...ยิ่งหาได้ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก”
กรรชัยจึงยิ้มขำตรงมุมปากเล็กน้อย
“นายภูเล่นพูดแบบนี้ ผมเลยไม่กล้าไปพอดี” เขาพูด
ภูสันต์ก็พลอยยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงเขียนจดหมายต่อ
จากนั้นกรรชัยจึงนำจดหมายไปมอบให้กับคนรถของนายพลมนูญก่อน แล้วจึงค่อยออกจากบ้านไป

ภูสันต์ไขกุญแจประตูเข้าไป ก็พบหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง มือทั้งสองของเธอยังถูกมัดไขว้หลังเอาไว้
จากนั้นเด็กสาวสองคนก็ช่วยกันลำเลียงอาหารเข้ามาให้มากมาย จนหญิงสาวเห็นแล้วมีอาการน้ำลายสอ เพราะเธอไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว
“นึกว่าจะให้อดข้าวตายเสียอีก ว่าแต่ใส่ยาพิษลงไปหรือเปล่าล่ะ?” หญิงสาวประชดให้
ภูสันต์อมยิ้มเล็กน้อย รอจนสาวใช้ทั้งสองออกไปแล้ว
“ขอโทษด้วยที่เอามาให้ช้า ก็ตอนแรกนึกว่า คงไม่ต้องทำเผื่อก็ได้ เดี๋ยวท่านนายพลก็คงมารับเอง แต่ที่ไหนได้...”
มนสิกานต์ได้ยินก็ตาลุกขึ้นมา
“คุณพ่อจะมารับงั้นเหรอ? แล้วตอนนี้ท่านมาหรือยัง? ฉันนึกแล้วว่า...น้ำหน้าอย่างแกไม่มีปัญญาทำอะไรฉันได้หรอก”
แต่แทนที่ชายหนุ่มจะโกรธ เขากลับหัวเราะออกมาราวกับขำจริงๆ
“ขอโทษด้วยที่พูดให้เข้าใจผิด แต่คราวหน้าก็ช่วยฟังให้จบก่อนดีกว่า จะได้ไม่มีเรื่องวุ่นวายแบบเมื่อคืนอีก”
หญิงสาวมองหน้าเขา
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? ฉันได้ยินเสียงปืนดังไปหมด”
“มีตำรวจบุกเข้ามาน่ะสิ เล่นเข้ามาไล่ยิงกันในบ้านของผม ก็เพื่อนคุณน่ะซี รีบร้อนไปแจ้งความจับผม หาว่าผมลักพาตัวเด็ก และยังจับตัวคุณมาขังไว้เสียอีก”
“แล้วไม่จริงหรือไง?” มนสิกานต์ย้อน
“ถ้าจริง งั้นทำไมผมถึงยังยืนอยู่ตรงนี้อีกล่ะ?” เขากลับย้อนถามเสียเอง
มนสิกานต์ดูงุนงงไปหมด
ภูสันต์ทำท่าจะนั่งลงบนเตียง หญิงสาวตกใจ รีบถอยออกห่าง
“อย่าเข้ามาใกล้นะ!” เธอทำเสียงขู่ฟ่อ
ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ผมแค่อยากจะถามว่า ท่านนายพลมนูญมีอะไรกับผมหรือเปล่า? ท่านถึงไม่ยอมมารับคุณด้วยตัวเอง ตอนวันงานก็ส่งคุณกับน้องสาวมาเท่านั้น”
หญิงสาวได้ฟังก็ยิ้มหยัน
“แน่ล่ะซี คุณพ่อฉันเป็นคนที่ถือเนื้อถือตัว ท่านไม่มีวันยอมลดเกียรติ์ตัวเองมาคบค้ากับพวกมาเฟียหรอก”
ภูสันต์หัวเราะทันที
“นี่คุณไปฟังใครเขาเป่าหูมาล่ะ ผมดูเหมือนพวกมาเฟียมากเชียวหรือ?”
มนสิกานต์มองเขาอย่างงุนงง
“แก...เอ้อ...คุณจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่พวกผู้มีอิทธิพลรึไง?” เธอยังทำท่าไม่ยอมเชื่อง่ายๆ
“แล้วเอาอะไรมาวัดว่าเป็นผู้มีอิทธิพลล่ะ? เพราะว่าผมมีเงินมากกว่าคนอื่น และยังมีลูกน้องที่ซื่อสัตย์จงรักภักดียอมตายแทนได้อยู่มากมายอย่างงั้นเหรอ? แบบนี้จะไม่เป็นการกล่าวหามากไปหน่อยรึไง? พ่อคุณเองก็เป็นถึงระดับนายพล ท่านก็คงจะมีลูกน้องมากมาย งั้นพ่อคุณก็เป็นพวกผู้มีอิทธิพลเหมือนๆกันกับผมนั่นแหละ”
มนสิกานต์หน้าแดงจัด
“อย่าเอาพ่อฉันไปเปรียบกับคนอย่างแกนะ”
ภูสันต์เลิกคิ้ว
“ก็ได้ อยากคิดแบบนั้นก็ตามใจ ผมเองก็ขี้เกียจจะพูดกับพวกคนที่ไร้เหตุผลเหมือนกัน”
เธอถลึงตาใส่เขา
“เอาเถอะ กินข้าวดีกว่า เพราะคุณอาจต้องอยู่ที่นี่ไปอีกถึงสองสามวันเลยก็ได้” ชายหนุ่มบอก
“ทำไมต้องสองสามวันด้วย? แกปล่อยตัวให้ฉันกลับไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้รึไง?”
“ไม่ได้ งานนี้ผมต้องเสียหายอย่างหนัก เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง แถมยังเกือบจะต้องถูกฆ่าถึงสองครั้ง เพราะงั้น...ต้องให้พ่อคุณมารับคุณกลับไป ผมถึงจะยอม”
หญิงสาวทำท่าขัดใจ
“งั้นชาตินี้ฉันก็ไม่ได้กลับบ้านน่ะซี”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าพ่อคุณรักคุณจริง ท่านคงจะไม่ยอมปล่อยคุณทิ้งไว้กับพวกอันธพาลอย่างผมแน่ ลูกสาวท่านทั้งคนเชียวนะ ไงๆก็ต้องมา”
มนสิกานต์เกือบค้อน
“แกคิดจริงๆหรือว่า จะสามารถกล่อมให้พ่อฉันยอมลงมาเกลือกกลั้วกับสวะอย่างแก พ่อของฉันเป็นคนถือเกียรติ์และศักดิ์ศรี ท่านไม่ยอมให้แกหลอกใช้เป็นเครื่องมือแน่ ถ้าหวังคิดจะอาศัยบารมีท่านมาขยายอำนาจตัวเองล่ะก็ คิดผิดถนัด”
เขาจ้องเธออย่างโกรธเกรี้ยวครู่หนึ่ง
“ระวังปากไว้หน่อย อย่าหยามกันให้มากนัก อย่าลืมว่า คุณยังเป็นเชลยของผมอยู่ ผมอาจโกรธ ทำอะไรบ้าๆอย่างที่คุณจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตเลยก็ได้”
มนสิกานต์ได้ฟัง ก็อดนึกกลัวขึ้นมาไม่ได้ เธอคิดว่าคงจะเป็นการฉลาดกว่า ถ้าจะฟังคำเตือนของเขาไว้บ้าง
“ว่าแต่ว่า...แก...คุณใช้ลูกเล่นอะไรหรือ? พวกตำรวจถึงได้ยอมล่าถอยกลับไปได้ จริงๆพวกเขาน่าจะวิสามัญฆาตกรรมคุณด้วยซ้ำ”
“ทำงั้น พวกเขาคงได้ถูกสอบสวน และถูกสั่งย้ายยกทีมกันหมดแน่ บ้านเมืองมีขื่อมีแปรนะ เอะอะอะไรก็จะฆ่ากันง่ายๆขนาดนั้นเชียวหรือ”
“แต่คุณทำผิด คุณลักพาตัวเด็กมา ทำให้พ่อแม่ของเขาต้องเป็นทุกข์ร้อน”
ภูสันต์ยักไหล่ “ก็ดีแล้วนี่ พวกเขาสองคนสมควรจะได้รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้”
“หมายความว่ายังไง?” มนสิกานต์ไม่เข้าใจ
“ไว้รอถามพ่อคุณเองก็จะรู้ ทานข้าวเถอะ ผมไม่อยากเห็นคุณอดตาย เดี๋ยวพ่อคุณได้ฆ่าผมพอดี”
“แก้มัดฉันก่อนซี”
ภูสันต์นึกขึ้นได้
“จริงสินะ” เขาทำท่าจะยื่นมือไปแก้มัด แต่แล้วจู่ๆก็เปลี่ยนใจ

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป