หน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 10 11
home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป
๙…

มลชนกได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจมาก
“นี่คุณ...คุณมีหน้าที่แค่ขับรถก็พอแล้ว อย่าไปสนใจคำพูดเหลวไหลไร้สาระของเด็กห้าขวบหน่อยได้ไหม? ผมบอกแล้วไงว่า ผมต่างหากที่เป็นพ่อที่แท้จริงของมัน” วรงค์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังข่มขู่อยู่ไม่น้อย
“ไม่จริงนะคะ” ภูริศารีบคัดค้าน
“แกอยากถูกฉันตีรึไง? หา?” วรงค์ชักโมโหอีก
ภูริศากลัวเขาขึ้นมา
“โอ๋ ลูก อย่ากลัวไปเลยนะ พ่อเขาแค่อารมณ์เสียเฉยๆเท่านั้น แต่จริงๆพ่อเขารักลูกมากเลยนะ” กมลชนกพูดปลอบ
คนขับรถแท็กซี่ทำหน้าเฉย ขณะจะเลี้ยวเพื่อกลับรถ
“ทำอะไรของแก?” วรงค์ชักสงสัย รู้สึกไม่ค่อยไว้ใจคนขับรถคันนี้เสียแล้ว
“ถามได้ ก็ไปสถานีตำรวจน่ะซี หากพวกคุณเป็นพ่อแม่เด็กจริงๆ จะต้องกลัวอะไร” คนขับรถย้อน
กมลชนกได้ยินก็ตกใจหน้าซีด
“คุณ?” เธอหันไปมองสามี
วรงค์ทำหน้าขมึงทึง
“รีบกลับไปทางเดิมเดี๋ยวนี้ อย่าให้ฉันต้องโมโหนะ”
คนขับรถแท็กซี่เหลือบตามองเขาทางกระจกมองหลัง
“ถ้าคุณโมโห คุณจะทำอะไรผมงั้นเหรอ?”
“ก็ลองดูซี” วรงค์ขยับขึ้นไป ใช้สองมือบีบคอคนขับ
“อย่า...” คนขับรถทำเสียงร้องในคอ
“จะขับไปตามที่ฉันบอกดีๆ หรืออยากตายล่ะ?”
“ปล่อย...ก่อน จะให้ผม...ขับพาไปไหนก็ได้ แต่...ปล่อยก่อนสิ”
วรงค์จึงคลายมือออก
กมลชนกถอนใจโล่งอก
แต่ภูริศาดูกลัวจนพูดไม่ถูกแล้ว ไม่ว่ายังไงเธอก็ยอมรับสองคนนี้เป็นพ่อแม่ไม่ได้แน่
‘คุณพ่อ ช่วยลูกหนูด้วย’ เธอได้แต่ร่ำร้องในใจ

ทุกคนมานั่งรอฟังผลอยู่ในห้อง เหล่าตำรวจก็ช่วยกันติดตั้งเครื่องดักฟังทางโทรศัพท์ ภูสันต์เองก็จับมือถือของตนเองไว้แน่นเช่นกัน
‘ลูกหนู รีบโทรหาพ่อสิ พ่อจะได้รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน’ ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจด้วยความเป็นห่วงลูกสาวของตน
มีตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาในห้องก็เพื่อรายงานความคืบหน้าจากการติดตามรถแท็กซี่คันที่สองสามีภรรยาใช้ขึ้นหลบหนีไปได้
“ท่านนายพล เราได้รับรายงานว่า พบรถแท็กซี่คันที่คุณมนสิกานต์ระบุไว้แล้วครับ” นายตำรวจรายงานให้กับชายกลางคนได้รับทราบ
ภูสันต์รีบลุกพรวดโดยเร็ว
“เจอลูกหนูมั้ย?” เขาถามทะลุกลางปล้องอย่างลืมตัว แต่ก็ไม่มีใครนึกถือสา เพราะทราบว่าชายหนุ่มทำไปก็ด้วยความเป็นห่วงบุตรี
นายตำรวจคนนั้นหันมามองเขาอย่างเสียใจ
“ผมเสียใจด้วยครับ คนขับรถบอกว่า สองคนผัวเมียให้เขาจอดรถลงข้างทาง พอเราไปตรวจสอบสถานที่ มีคนเห็นพวกเขาขึ้นรถแท็กซี่อีกคัน เป็นสีฟ้าขาว ไม่ทราบเลขทะเบียน”
ภูสันต์ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิม
มนสิกานต์มองเขาด้วยความรู้สึกสำนึกผิด เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะรักเด็กมากถึงขนาดนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ นายภู คุณหนูมีมือถือ เดี๋ยวก็คงจะหาทางติดต่อมาถึงเราแน่ๆครับ” กรรชัยพูดปลอบเขา
ภูสันต์พยักหน้า ก็ได้แต่หวังเช่นนั้น

"ฉันอยากเข้าห้องน้ำ” ภูริศาพูด
วรงค์หันไปมุ่นคิ้ว
“แกนี่มันเรื่องมากจริงๆนะ” เขาบ่น
“ก็ฉันปวดจะราดอยู่แล้วนี่” ภูริศาทำท่ากลัวเขา
“คุณคะ ให้ลูกเข้าห้องน้ำหน่อยเถอะค่ะ เราแวะไปปั้มข้างหน้าก็ได้” กมลชนกบอกด้วยความสงสารลูก
วรงค์จึงหันไปทางคนขับรถแท็กซี่
“เดี๋ยวก็แวะเข้าปั้มด้วย ลูกฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
“ครับๆ ได้ครับ” คนขับรีบบอกโดยเร็ว
ดังนั้นรถแท็กซี่ฟ้าขาวคันนั้นก็เลี้ยวเข้าไปจอดในปั้ม
“ฟังนะ ไอ้เด็กบ้า ถ้าแกทำตุกติก อย่างไปบอกคนอื่นว่าแกถูกลักพาตัวมาล่ะก็ ฉันจะบีบคอไอ้แก่นี่ให้มันตายคาที่ทันที ถ้าแกอยากให้มันตาย ก็เอาเลย” วรงค์ทำเสียงข่มขู่กับเด็กหญิง ก่อนที่พวกเธอจะเปิดประตูด้วยซ้ำ
คนขับรถแท็กซี่มีสีหน้าดูตกใจกลัวมาก เพราะวรงค์เอามือสองข้างมากดวางรอบคอของเขาให้เด็กหญิงดูกับตา
“เดี๋ยวก่อน คุณเอาเสื้อผ้านี่ให้ยายเด็กนี่ใส่ด้วย ขืนให้มันใส่ชุดนักเรียน เดี๋ยวต้องมีคนสงสัยแน่” วรงค์ล้วงหาเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงที่เตรียมไว้ส่งให้ภรรยา
กมลชนกรีบพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำโดยไม่พูดมาก

"แกรออยู่ข้างนอกแหละ ไม่ต้องตามเข้ามาก็ได้ ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูตอนที่ฉันทำธุระ” ภูริศาพูดเสียงเย็นชา
หญิงสาวอึ้งเล็กน้อย เธอต้องทำใจว่าเด็กคนนี้ยังคงไม่ยอมรับว่าเธอเป็นแม่แท้ๆ
ภูริศารีบเข้าไปในห้องน้ำ รีบล็อกประตู จากนั้นก็เปิดน้ำก็อกเสียงดัง แล้วจึงล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบมือถือออกมา

จู่ๆมือถือของเขาก็ดังขึ้น ภูสันต์รีบยกหูขึ้น
“ฮัลโหล?”
แต่ไม่มีเสียงตอบ เขาได้ยินแต่เสียงอะไรไม่ทราบ ฟังดูเหมือนเสียงน้ำไหลแรงๆ
“ฮัลโหล? นั่นใคร? ลูกหนูหรือเปล่า? ทำไมถึงไม่พูดล่ะ? บอกพ่อหน่อยสิ ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน พ่อเป็นห่วงมากเลย รู้มั้ย?”
อีกฝ่ายไม่ยอมตอบ แต่มีเสียงคล้ายเสียงกลั้นสะอื้นอยู่เบาๆ
นายตำรวจคนหนึ่งรีบเข้ามาหาภูสันต์
“คุณภูสันต์ครับ บางทีเด็กอาจไม่สะดวกจะตอบคุณก็ได้ คุณวรงค์กับคุณกมลชนกจะต้องคอยจับตาดูเธออยู่แน่ เธอถึงไม่ยอมตอบอะไร” เขาพูดกับชายหนุ่ม อธิบายให้เข้าใจถึงสถานภาพของเด็กหญิงตอนนี้
“แล้วผมควรจะทำยังไง?” ภูสันต์รู้สึกเสียใจจนบอกไม่ถูกทีเดียว เขาอยากจะไปอยู่ข้างๆลูกสาวตอนนี้ จะได้ช่วยพูดปลอบขวัญให้กำลังใจบ้าง
“ผมขอพูดกับหนูภูริศาหน่อยนะครับ” นายตำรวจยื่นมือออกไปเพื่อรับมือถือจากชายหนุ่ม
“หนูภูริศาใช่ไหม? อาเป็นตำรวจนะ ถ้าหนูได้ยินที่อาพูดล่ะก็ เดี๋ยวอีกสักครู่ หนูก็โทรมาที่เบอร์บ้านของคุณพ่อเลยนะจ้ะ และเปิดสัญญาณทิ้งไว้ เพราะพวกอาได้ติดเครื่องดักฟังเสียงทางโทรศัพท์ไว้แล้ว อาสัญญาว่าจะต้องไปช่วยหนูให้ได้แน่ แต่หนูจะต้องคอยบอกใบ้ให้พวกอารู้ด้วยว่า หนูอยู่ที่ไหนกันแน่ พวกอาถึงจะตามไปช่วยหนูออกมาได้ ตัวหนูเองจะต้องคอยชวนพวกคนร้ายคุย พวกอาจะได้รู้ว่า พวกเขาทำอะไรกับหนูบ้างหรือเปล่า หวังว่าหนูคงจะเข้าใจที่อาพูดนะ ถ้าเข้าใจ เดี๋ยวก็โทรมาที่บ้านได้เลย”
สักครู่ เสียงสัญญาณก็ขาด เขาจึงปิดสาย และส่งคืนให้ชายหนุ่ม
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตำรวจจึงยกหูขึ้นฟังอย่างตั้งใจ

ภูริศาแต่งตัวเสร็จก็ออกจากห้องน้ำ
“เสร็จแล้วหรือจ๊ะ?” กมลชนกถามอย่างเอาใจ
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีไปหรอก ทำไมแกต้องลักพาตัวฉันมาด้วย? พวกแกสองคนเป็นใครกันแน่?” เด็กหญิงถามขึ้นห้วนๆ
“แม่ก็บอกแล้วไง แม่เป็นแม่แท้ๆของหนูเอง”
“โกหก ฉันไม่เชื่อหรอก แม่ฉันตายไปตั้งนานแล้ว ฉันมีแค่พ่อคนเดียวเท่านั้น”
“แต่แม่พูดความจริง ลูกเชื่อแม่เถอะนะ”
ภูริศาเมินหน้า
“ถ้าแกยังมีจิตสำนึกอยู่ล่ะก็ แกควรจะพาฉันกลับไปหาคุณพ่อของฉันดีกว่า”
กมลชนกมองเธออย่างเสียใจ
“กว่าแม่จะได้พบกับลูกก็ยากเย็นแสนเข็ญ แล้วจะให้แม่ส่งลูกคืนให้กับเขาได้ยังไง ลูกรู้มั้ย แม่คิดถึงลูกมากทุกลมหายใจ แม่ฝันว่าจะได้กอดลูกสักครั้ง คุณภูสันต์เขาแย่งตัวลูกไปจากแม่ตั้งแต่ลูกยังแบเบาะ เพราะเขาอยากจะแก้แค้นที่แม่นอกใจเขา แม่รู้ตัวว่าแม่ผิดต่อเขา แต่แม่ก็พลาดไปแล้ว แม่ไม่มีทางจะถอยหลังได้อีกต่อไป ตอนนี้แม่ไม่หวังอะไรอีกแล้ว ขอแค่ได้อยู่กับลูกแบบนี้ไปเรื่อยๆก็พอ”
“แต่ฉันไม่ยอมอยู่กับพวกแกแน่ พวกแกมันเห็นแก่ตัวมาก ลากเอาคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาเดือดร้อนไปด้วย พอเสร็จงานแล้ว พวกแกคงจะฆ่าลุงคนขับรถแท็กซี่คนนั้นล่ะซี” ภูริศาพูดอย่างรู้ทัน
“ไม่หรอก พวกเราไม่ทำหรอก” กมลชนกบอก
“แน่เหรอ? เมื่อกี้ฉันเห็นกับตา หมอนั่นใช้มือสองข้างบีบคอคนขับไว้ ถ้าฉันขืนเรียกให้คนช่วย พวกแกคงฆ่าเขาใช่ไหม?”
“ไม่หรอกจ้ะ พวกเราไม่ทำงั้นหรอก คุณวรงค์แค่ขู่ไปอย่างงั้นเอง ถ้าลูกไม่ดื้อ เขาก็คงไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก”
ภูริศาทำท่าสะบัดหน้า แล้วเดินออกจากห้องน้ำ
กมลชนกเดินตามหลังเธอมาขึ้นรถ
“มัวชักช้าอะไรอยู่?” วรงค์ถามเสียงไม่ชอบใจ
“ก็ฉันหนักนี่” ภูริศาตอบห้วนๆ
วรงค์เม้นปาก
“ไม่รู้ไอ้ภูสันต์มันเลี้ยงลูกประสาอะไร ใช้คำพูดคำจาน่าฟังเสียจริง”
“อย่ามาว่าพ่อฉันนะ” ภูริศาชักโกรธ
“แกนี่มันชอบเถียงจริงๆ มันน่าตีให้ตาย”
“คุณคะ อย่าพูดรุนแรงกับลูกแบบนั้นสิคะ ลูกกำลังใจเสีย ก็เลยพูดแบบนั้น” กมลชนกรีบห้ามเขา
วรงค์หันไปทางคนขับ
“ออกรถไปเร็ว” เขาสั่งห้วนๆ
“ครับๆ” คนขับรีบตอบ
“พวกแกจะพาฉันไปไหน?” ภูริศาถาม
“ไม่ต้องถาม ไปถึงก็รู้เองแหละ” วรงค์ตอบห้วนๆ
“แต่ฉันอยากรู้เดี๋ยวนี้”
“อุฟะ จะรู้ไปทำไม?”
“ก็ฉันอยากรู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปที่ไหนนี่นา”
“เอ้า ก็ได้ งั้นฉันจะบอกให้เอาบุญ ฉันว่าจะพาแกขึ้นไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ อาจจะขึ้นไปถึงเชียงใหม่หรือเชียงรายเลยก็ได้”
“นี่คุณ ผมไม่ไปเชียงใหม่หรือเชียงรายนะ รถผมต้องไปส่งให้ทันก่อนหกโมงเย็นนี้” คนขับทำท่าโวยวาย
“แกจะขับไปดีๆตามที่ฉันบอก หรืออยากจะให้ฉันฆ่าแกตรงนี้ แล้วฉันจะได้ขับรถของแกไปเสียเองเลย เอามั้ย?”
คนขับรถหุบปากโดยเร็ว
“นั่นไงล่ะ หมอนี่มันมีสันดานฆาตกรจริงๆด้วย เดี๋ยวพอถึงที่ มันจะต้องฆ่าลุงคนขับรถเพื่อปิดปากแน่ๆเลย” ภูริศาพูดออกมา
คนขับรถได้ฟังก็เกิดอาการหวาดกลัวลานขึ้นมาอีก
“นี่แกพูดให้มันน้อยๆหน่อยได้มั้ย? ถ้ามันทำตัวดีๆ ฉันจะไปฆ่ามันทำไม” วรงค์พูดห้วนๆ
“เห็นไหมจ๊ะ? คุณพ่อเขาไม่ฆ่าคนหรอกจ้ะ” กมลชนกรีบบอกลูกสาวโดยเร็ว
“ฉันยังไม่เชื่อหรอก” ภูริศาไม่ยอมแพ้
“เอ้า ก็ได้ ถ้าหากฉันเป็นฆาตกร แกก็มีสายเลือดของฆาตกรอยู่ในตัว แกกับฉันมันก็เหมือนๆกัน เพราะว่าแกเป็นลูกของฉัน มีเลือดเลวๆของฉันอยู่ครึ่งนึง”
“ไม่จริง! แกโกหก แกไม่ใช่พ่อฉัน” ภูริศาพูด
“ฉันพูดกับแกมาเป็นร้อยๆครั้งแล้ว ฉันเป็นพ่อแก ถ้าแกไม่เชื่อ พอไปถึงที่แล้ว ฉันจะให้เขาเจาะเลือดแกไปตรวจให้เลยก็ได้ จะได้รู้ดำรู้แดงไปเลย ไอ้ภูสันต์มันเลือดกรุ๊บบี ถ้าหากแกเลือดกรุ๊บบีจริงๆ ฉันยอมให้แกตัดหัวคั่วแห้งเลยก็ได้”
ภูริศาร้องไห้สะอื้นออกมา
“โอ๋ ลูกแม่ อย่าร้องไห้เลยนะ ถึงลูกจะร้องไห้เสียใจไป แต่ความจริงมันก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี ลูกควรจะยอมรับ และไปอยู่กับพวกเราด้วยกันจะดีกว่า เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“แต่ฉันยอมตายดีกว่าที่จะเป็นลูกของพวกแก” ภูริศายังไม่หยุดสะอื้น
“ไอ้เด็กเวร!” วรงค์เงื้อมมือขึ้น
“อย่านะ” กมลชนกรีบคว้าแขนของเขา “ห้ามทำร้ายลูกนะคะ”
วรงค์นิ่งอึ้ง ก่อนจะปล่อยมือลง
“พ่อของฉันไม่เคยขึ้นเสียงใส่ฉันสักครั้ง เขารักฉันมากจะตาย ถึงต่อให้ฉันดื้อแค่ไหน คุณพ่อก็ไม่เคยว่าฉันสักคำ ไม่เคยคิดจะตบตีฉันด้วย คนอย่างแกมีอะไรสู้พ่อฉันได้” ภูริศายังไม่หยุดพูด
วรงค์ทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าคนจริงๆ
“แกเลิกพูดถึงไอ้ภูสันต์เสียทีเถอะ ทำเป็นไปพูดจายกย่องมัน มันใช่พ่อแกจริงๆซะที่ไหน แกลืมมันไปได้แล้ว เพราะจากนี้ไปแกจะต้องอยู่กับพวกฉัน เพราะว่าแกเป็นลูก”
“ไม่เอา ฉันอยากกลับบ้าน พาฉันกลับไปส่งเดี๋ยวนี้”
“ตอนนี้เรามาไกลกันมากแล้ว จะให้ย้อนกลับไปทำไม”
ภูริศามองไปรอบๆนอกรถ
“ป้ายนั่นอ่านว่าอะไร?” เด็กหญิงชี้ไปที่ป้ายบอกทาง
วรงค์เหลือบมองป้ายแค่แวบเดียว
“แกเก่งนักไม่ใช่รึไง? ทำไมถึงไม่อ่านเองล่ะ?”
“ก็ฉันอ่านไม่ออก ถึงได้ถาม เวลาที่ฉันถาม คุณพ่อฉันก็จะตอบทุกครั้ง”
“แกคิดจะเอาฉันไปเปรียบเทียบกับไอ้ภูสันต์รึไง ฉันว่า แกเลิกคิดถึงเรื่องมันไปดีกว่า แกคิดจริงๆหรือว่า มันจะรักแกได้มากกว่าฉันที่เป็นพ่อที่แท้จริง ตอนนี้มันอาจจะยังเทิดทูนแกอยู่ แต่เดี๋ยวพอมันแต่งงานใหม่เมื่อไหร่ แล้วแกจะรู้สึกเอง”
“คุณพ่อบอกว่าจะไม่แต่งงานใหม่” ภูริศาเถียง
“แกเชื่อคำพูดมันจริงๆหรือ? ไม่รู้หรือไงว่าพวกผู้ใหญ่มักจะชอบหลอกเด็ก มันก็แค่แกล้งพูดเอาใจแกไปงั้นแหละ แต่อีกหน่อยมันจะต้องแต่งงานใหม่แน่ ถ้ามันอยากจะเลื่อนชั้นฐานะหน้าตาในวงสังคมของมันเอง มันจะต้องแต่งงานไปกับลูกสาวคนรวยๆเท่านั้น และผู้หญิงที่มันจะแต่งงานด้วย ก็จะกลายมาเป็นแม่เลี้ยงของแก แกคิดจริงๆหรือว่า พอถึงตอนนั้นแล้ว มันจะยังเห็นแกเป็นลูกได้อีก ก็แกมันเป็นลูกชู้ เป็นลูกของไอ้เพื่อนจอมทรยศที่มันเกลียดนักหนา ลึกๆในใจมันจะต้องเกลียดแกอยู่แน่ๆ เชื่อเถอะว่า ถึงตอนนั้น...แกก็จะกลายเป็นแค่หมาหัวเน่าที่ไม่มีใครแล ยิ่งถ้ามันมีลูกกับเมียใหม่ แกก็อย่าหวังว่าจะมีเอี่ยวอะไรในทรัพย์สินของมันด้วยหน่อยเลย”
ภูริศาจ้องเขาอย่างตกใจมาก เธอไม่อยากจะเชื่อคำพูดนั้น ภูสันต์จะต้องไม่ทำแบบนั้นกับเธอแน่
“แกหลอกฉันล่ะซี แกต้องการให้ฉันเกลียดคุณพ่อมากๆใช่ไหม? แกถึงใส่ร้ายป้ายสีคุณพ่อของฉัน”
“ฉันพูดจริงๆโว้ย แกหัดลืมตามองดูความจริงเสียมั่ง แกเป็นลูกของไอ้ชายชู้ คิดจริงๆรึว่ามันจะรักแกลง มันต้องการจะแก้แค้นฉัน ก็เลยล้างสมองแกให้ไปอยู่ฝ่ายมัน ตอนนี้มันคงกำลังนั่งหัวเราะสาแก่ใจไปแล้ว”
ภูริศาร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอีก
“อย่าร้องไห้เลยลูก ที่พ่อกับแม่ทำลงไปนี่ ก็เพราะหวังดีต่อลูกด้วย เราไม่อยากเห็นลูกต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้นเข้าสักวัน ถึงต้องหาทางไปพาตัวลูกกลับมา ในโลกนี้ไม่มีใครรักลูกได้มากไปกว่าพ่อแม่แท้ๆหรอกนะจ้ะ” กมลชนกบอกเด็กหญิง
ภูริศาเอาแต่สะอื้นไห้ ไม่ยอมพูดอะไรอีก

ภูสันต์ฟังแล้วถึงกับน้ำตาไหลออกมา กรรชัยทำท่าเป็นห่วงเขา
“ถ้านายภูทนฟังไม่ไหว ก็ไปนอนพักก็ได้ครับ เดี๋ยวถ้าได้เรื่องแล้ว ผมจะไปบอกให้ทราบเอง” ชายหนุ่มพูด
“ไม่เป็นไร ฉันทนไหว ฉันอยากฟัง อยากรู้ว่าลูกหนูไปเจออะไรเข้าบ้าง”
คนอื่นๆหันมามองเขาเป็นตาเดียวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปตั้งใจฟังการสนทนาต่อไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของเด็กหญิง
“หนูภูริศาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมถึงไม่ยอมพูดอะไรอีก?” นายตำรวจคนหนึ่งกล่าวอย่างเป็นกังวล
“แกคงจะร้องไห้จนหลับไปแหละครับ” ภูสันต์ตอบด้วยเสียงขรึม ครั้งหนึ่ง ภูริศาเองก็เคยร้องไห้จนหลับไป ตอนที่ได้รู้ความจริงว่าตัวเองอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขาก็ได้
“งั้นก็แย่น่ะสิครับ” มีตำรวจอีกคนอุทาน “ไม่ทราบว่าแบตเตอรี่ของหนูภูริศาใช้ได้กี่ชั่วโมง ตั้งแต่เกิดเรื่อง...มันผ่านมาสองชั่วโมงไปแล้วนะครับ”
ทุกคนหันมาจ้องภูสันต์เป็นตาเดียวเพื่อขอคำตอบ
“แบตรุ่นนี้ใช้ได้ประมาณแปดชั่วโมงต่อวัน แล้วก็ต้องไปชาร์ตใหม่ ถึงจะใช้ได้อีกครั้ง” ภูสันต์จำต้องตอบ
“งั้นเราก็มีเวลาอีกแค่หกชั่วโมง จะต้องรู้ความจริงให้ได้ว่าหนูภูริศาอยู่ที่ไหน...ก่อนที่แบตจะหมดเสียก่อน”
คนอื่นๆพากันตีหน้าเครียดจัด เพราะถ้าหากภูริศาเกิดไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีก จะทำอย่างไร

มลชนกโอบกอดร่างเล็กๆ แล้วจึงร้องเพลงกล่อม
วรงค์หันมาปรายตามองทางหางตา
“หลับไปแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องทนฟังมันพูดหนวกหูเอาอีก เด็กอะไร ปากคอเราะร้าย สงสัยไอ้ภูสันต์คงจะเลี้ยงตามใจกันตะพึดตะพือ คิดจะเลี้ยงให้เป็นคุณหนูชั้นสูง หรือว่าแม่ค้าปากตลาดกันแน่”
“ฉันคิดว่าปรกติแกอาจจะไม่ได้ร้ายกาจแบบนี้ก็ได้ค่ะ ก็จู่ๆมาเจอเรื่องแบบนี้ แกคงจะรับไม่ได้ เข้าใจหน่อยเถอะค่ะ ไงๆแกก็เป็นลูกของเราสองคนนะคะ” กมลชนกบอกเขา
“ลูกของเราสองคนเรอะ แน่ใจนะ ว่าใช่แบบนั้นจริงๆ?” วรงค์ถามน้ำเสียงหยันๆออกมาจนเห็นได้ชัด
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น?” กมลชนกดูแปลกใจมาก
“ก็หรือไม่จริงล่ะ? คุณเป็นคนบอกผมว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของผม แต่มันก็น่าคิดเหมือนกันว่าจะใช่จริงหรือเปล่า คิดดูซี คุณกับมันก็แต่งงานเป็นผัวเมียกันมาเป็นปีๆ ทุกคืนพวกคุณสองคนก็ต้องหลับนอนอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนเราสองคนก็แค่นอนด้วยกันหนเดียวเอง จู่ๆคุณก็มาบอกว่าท้องกับผม แล้วจะให้ผมแน่ใจได้ยังไง”
“นี่คุณไม่เชื่อฉันงั้นหรือ?” กมลชนกจ้องหน้าเขาอย่างตกใจมาก เพราะไม่ทราบมาก่อนว่าเขามีความคิดเช่นนี้อยู่
“งั้นผมขอถามหน่อยเถอะ เราแต่งงานอยู่กินมาด้วยกันตั้งห้าปีแล้ว ทำไมป่านนี้เราถึงไม่มีลูกด้วยกันอีก คุณไม่คิดว่ามันจะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือไง” วรงค์ถามเสียงเย็น
กมลชนกได้แต่จ้องหน้าเขา
“พูดไม่ออกล่ะซี เพราะจริงๆคุณเองก็คงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเด็กจะใช่ลูกผมหรือเปล่า คุณอ้างว่า...นับเวลาแล้วน่าจะใช่ แต่คุณก็อาจนับผิดได้ไม่ใช่เหรอ? ดีไม่ดี เด็กนี่อาจเป็นลูกของไอ้ภูสันต์มันจริงๆก็ได้ แต่ที่ไอ้ภูสันต์มันไม่เคยคิดจะพาไปตรวจดีเอ็นเอเลยน่ะ ไม่ใช่เพราะว่ามันโง่หรือไม่คิดเฉลียวใจหรอกนะ แต่เพราะมันไม่กล้าต่างหาก มันกลัวความจริง กลัวจะรู้ว่าเด็กจะไม่ใช่ลูกมันจริงๆ มันถึงไม่กล้าพิสูจน์ อย่างน้อยมันก็ยังได้หลับฝันหวานต่อไปได้ว่า เด็กอาจเป็นลูกของมันเองก็ได้ ที่มันทำใจรักเด็กคนนี้อยู่ได้ ก็เพราะมันมีความเชื่ออยู่ลึกๆในใจว่าเด็กเป็นลูกของมันนั่นเอง”
“ไม่จริง!” กมลชนกอุทาน
“จริง” วรงค์ย้ำ “ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน แถมเป็นคู่แข่งในเรื่องการเรียน แล้วทำไมผมจะอ่านความคิดมันไม่ออก อีกอย่างนะ ผมจะบอกให้คุณรู้ตัวไว้ก็ได้ ที่ไอ้ภูสันต์มันยังคงไม่ยอมแต่งงานน่ะ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะมันยังไม่ลืมคุณน่ะซี มันยังรักคุณอยู่จนทุกวันนี้ และมันก็เอาเด็กไปเพื่อดูต่างหน้าแทนคุณ เพื่อจะได้คิดถึงคุณทุกลมหายใจ ไอ้ทุเรศเอ๊ย”
กมลชนกจ้องมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
“ฉันเข้าใจแล้ว ที่คุณพูดจากร้าวร้าวกับลูก ก็เพราะว่าจริงๆคุณไม่เชื่อว่าแกจะเป็นลูกคุณซีนะ”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?” วรงค์ถามรวน
“แล้วถ้าเกิดพิสูจน์ได้ว่าเด็กเป็นลูกของคุณล่ะ? คุณจะรักแกบ้างหรือเปล่า”
“ก็รอให้พิสูจน์ให้ได้ก่อนซี”
“แล้วถ้าเกิดพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ล่ะ?”
“ผมก็จะหย่ากับคุณทันที จากนั้นเชิญคุณไสหัวกลับไปหาไอ้เจ้าภูสันต์มันได้”
กมลชนกหน้าซีดแทบไม่มีสีเลือด
“ทำไม? ไม่ดีใจหรือไง? สามคนพ่อแม่ลูกจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง ไอ้ภูสันต์เองก็คงจะดีใจแทบคลั่ง มันคงอยากจะให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
ภูริศาลืมตาลุกขึ้นมา
“แก...อย่ามาว่าแม่ฉันนะ”
สองหนุ่มสาวต่างคาดไม่ถึง
“อ้อ แกล้งหลับงั้นเหรอ?” วรงค์เม้นปาก
“แกพูดเสียงดังหนวกหูแบบนั้น แล้วฉันจะหลับได้ยังไงกัน” ภูริศาย้อน
“ลูก...เมื่อกี้ลูกเรียกแม่ว่าไง?” กมลชนกยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูเท่าไหร่
“แม่” ภูริศากอดมารดาแน่น
กมลชนกน้ำตาไหลออกมา
“ในที่สุด...ลูกก็ยอมเรียกแม่แล้ว แม่ดีใจเหลือเกิน”
“ก็แม่เป็นแม่ของลูกหนูไม่ใช่หรือคะ?” ภูริศาเงยหน้าขึ้นถาม
กมลชนกพยักหน้า
ภูริศายกมือเช็ดน้ำตาให้
“ทำเป็นซึ้งเข้าไปเถอะ ละครเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น แกอย่าเพิ่งได้ใจไปล่ะ เพราะแกอาจเป็นลูกฉันจริงๆก็ได้” วรงค์พูด
“แกไม่ใช่พ่อฉัน พ่อฉันมีแค่คนเดียว” ภูริศาด่า แล้วจึงหันกลับไปกอดมารดา “แม่ เรากลับบ้านเถอะนะ กลับไปอยู่ด้วยกัน คุณพ่อต้องยกโทษให้แม่แน่ๆ ไว้ลูกหนูจะช่วยขอร้องให้ด้วย”
กมลชนกอ้ำอึ้ง
“คงอยากกลับไปเต็มทีล่ะซี แต่มันไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ อย่าลืมว่า ตามกฎหมายแล้ว เธอเป็นเมียฉันต่างหากล่ะ ไม่ใช่ไอ้ภูสันต์”
กมลชนกหน้าซีดไปถนัด เมื่อได้ยิน
“ตอนนี้ฐานะของฉันกับไอ้หมอนั่นสลับกันแล้ว ฉันเป็นผัวที่ถูกต้องตามกฏหมาย ส่วนไอ้ภูสันต์...อย่างดีก็เป็นได้แค่ชายชู้เท่านั้น ฟังแล้วตลกไหมล่ะ?”

home ย้อนกลับ อ่านหน้าต่อไป