หน้า 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16
home อ่านหน้าต่อไป
๑…

ายในชั้นเรียนของกลุ่มนักเรียนชั้นสามบี ซึ่งลือกันว่า เป็นชั้นเรียนที่ห่วยแตกที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ นำความหนักใจมาให้กับอาจารย์ท่านอื่นๆกันถ้วนทั่ว โดยเฉพาะอาจารย์พิชัยผู้ซึ่งเป็นถึงอาจารย์ประจำชั้นเอง เขามักถูกเด็กๆล้อเลียน และตั้งสมญาให้ว่า ‘อาจารย์เต่าล้านปี’ กลายเป็นที่ขบขันกันไปทั่ว
อาจารย์พิชัยกำลังสอนวิชาประวัติศาสตร์อย่างตั้งใจ ขณะนี้เขากำลังยืนอ่านให้พวกนักเรียนของเขาฟังอย่างตั้งใจยิ่ง เพื่อจะได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ตนรักยิ่งให้กับบรรดาเหล่าเด็กๆของเขา
“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์พระผู้เป็นปฐมแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ องค์พระผู้สถาปนาพระราชวงศ์จักรี และองค์พระผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมสมัยสามัญชนว่า ทองด้วง ถือกำเนิดในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายสมัยกรุงศรีอยุธยา
ครั้งนั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกพ่าย พม่าได้ปล้นชิงสิ่งมีค่า ที่เอาไปไม่ได้ก็เผาทิ้งเสีย พม่าไม่ได้หวังจะมาเอาเป็นเมืองขึ้น แต่ต้องการเพียงเข้ามาปล้นแล้วกวาดเก็บเครื่องราชูปโภคอันสูงค่ายิ่งภายในพระบรมมหาราชวัง รวมถึงทรัพย์สินเงินทองรูปพรรณทุกอย่างของชาวกรุงศรีอยุธยาที่ขนเอาไปได้ ส่วนที่เอาไปไม่ได้ ก็เผาทำลายเสียอย่างไม่ไยดี
เกาะกรุงศรีอยุธยาในเดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ จึงเต็มไปด้วยสิ่งปรักหักพังของพระบรมมหาราชวัง วัดวาอาราม บ้านเรือนราษฎรที่กลายเป็นเถ้าถ่าน รวมไปถึงซากศพ และผู้บาดเจ็บพิการ
บนท้องฟ้ามืดมิดไปด้วยควันไฟและกลุ่มนกแร้งที่บินว่อนทั่วไปทั้งเกาะ แร้งบางกลุ่มกำลังทึ้งซากศพชาวกรุงศรีอยุธยา กลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่วเกาะ เป็นเหตุที่ยังฝังลึกและสร้างความคุมแค้นของชาวกรุงศรีอยุธยามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ในกาลนั้นเอง พระยาตากสินได้รวบรวมผู้คนเข้าขับไล่อริราชศัตรูออกจากแผ่นดินไทยของเราได้สำเร็จ และสถาปนาตนเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป มีพระนามที่ปรากฎคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงย้ายเมืองหลวงมายังเมืองกรุงธนบุรี เพราะกรุงศรีอยุธยาย่อยยับแหลกเหลว จนไม่อาจจะบูรณะให้เป็นดังเดิมได้
หลังจากที่ทรงขึ้นครองราช ก็ทรงแต่งตั้งพระยาจักรีเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ จนธนบุรีต้องเกิดอาเพทอีกครั้ง เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเกิดอาการวิปลาศ เป็นเหตุให้กรุงธนบุรีเกิดการจราจล เป็นยุคของคนพาลครองเมือง บ้านเมืองต้องระส่ำระสาย แม้พระศาสนาก็ถูกย่ำยี พระสงฆ์ถูกเฆี่ยนตีและให้ขนอาจม เสียงร้องครางพิลาปร่ำไรเซ็งแซ่ ผู้คนไม่ตายก็ต้องหนี กลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด
ในครั้งนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ได้นำทัพออกไปทำสงครามกับกัมพูชา เมื่อได้ข่าวกรุงธนบุรีวิปริต จึงรับสั่งให้รอทัพไว้ และให้พระยาสุริยอภัยผู้เป็นหลานกลับไปยังนครราชสีมาเพื่อคอยฟังเหตุการณ์บ้านเมือง หากเป็นจริงก็ให้รีบยกกองทัพเข้าไปรักษาการณ์กรุงธนบุรีไว้
ทว่าพระยาสรรค์กับพวกได้ก่อกบฎขึ้นเสียก่อน และวางแผนการที่จะกำจัดสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯเพื่อตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ แต่แผนการล้มเหลว ถูกพระยาสุริยอภัยจับกุมไว้ได้
ครั้นเสร็จการปราบยุคเข็ญที่กรุงธนบุรีแล้ว ข้าราชการผู้ใหญ่น้อยทั้งปวง จึงพร้อมใจกันอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นมหากษัตราธิราช โดยมีพระนามว่า
‘พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีศรีสินทร บรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนกาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบูลยคุณอขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมมิกราชาธิราชเดโชไชยพรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร์ โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎ ประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว’
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายพระนามใหม่ว่า ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก’
และในสมัยรัชกาลที่ ๙ ในการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ200ปี รัฐบาลและประชาชนพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญานามว่า ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช’
ดังนั้นจึงทรงเป็นมหาราชพระองค์แรกในพระบรมราชวงศ์จักรี นอกจากนี้พระองค์ยังทรงย้ายเมืองหลวงมายังบางกอก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดการสมโภชพระนครเป็นเวลา 3วัน พระราชทานพระนามเมืองใหม่ว่า
‘กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์’
ทรงโปรดให้สร้างวัดพระแก้วขึ้นในพระมหาราชวัง พร้อมพระอุโบสถ พระเจดีย์วิหารและศาลารายเป็นหลายหลัง ให้ขุดสระน้ำ ทำหอไตรลงกลางสระหลังหนึ่ง พระราชทานนามว่า หอพระ มนเทียรธรรมเป็นที่ไว้ตู้พระไตรปิฎก การสร้างพระนครใช้เวลา ๓ปี จึงแล้วเสร็จสำเร็จเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘
แต่ภายหลังจากที่สมโภชพระนครแล้วไม่ช้านาน ในปีนั้น เองพม่าก็ยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองไทยในสมัยพระเจ้าปดุง การศึกนี้กษัตริย์พม่ายกกองทัพเป็นทัพหลวงด้วยพระองค์เอง ที่เรียกว่า สงคราม๙ทัพ เพราะพม่าได้จัดกองทัพจำนวน๙กองทัพ กระจายออกเป็น5ทิศทาง เพื่อจะเข้าโจมตีกรุงเทพฯและภาคเหนือ ภาคใต้ของประเทศไทยให้ได้พร้อมกันในครั้งเดียว โดยพระเจ้าปดุงให้เตรียมกองทัพใหญ่ที่รวบรวมเอาคนหลายชาติหลายภาษาได้จำนวนพลถึง 144,000คน ขณะที่ฝ่ายไทยเรานั้นมีจำนวนพลเพียงแค่ 70,000คนเศษ นับเป็นศึกสงครามที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่าศึกพม่าครั้งไหนๆที่เคยปรากฎมาในพงศาวดาร...”
อ่านมาถึงตรงนี้ อาจารย์พิชัยก็ได้ยินเสียงอะไรเบาๆ ฟังดูคล้ายเสียงกรน เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่า นักเรียนคนหนึ่งของเขากำลังนอนหลับซบหน้าคาโต๊ะเรียนอยู่
อาจารย์เห็นแล้วก็ต้องถอนใจออกมาเป็นคำรบแรก
“เกียรติภูมิ ตื่นได้แล้ว นี่มันเวลาเรียนนะเธอ”
แต่ทว่านายเกียรติภูมิก็หาได้มีทีท่าจะยอมตื่นขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าวิธีการเรียกธรรมดาใช้ไม่ได้ผลจริงๆ อาจารย์ก็ต้องงัดกลยุทธเด็ดออกมา เป็นวิธีที่เขาใช้เป็นประจำ จนอาราย์ที่อยู่ห้องข้างๆรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่มีใครสนใจเรื่องนี้กันอีกแล้ว
“ไฟไหม้!” อาจารย์เข้าไปร้องลากเสียงดังๆใส่ข้างหูของนายเกียรติภูมิเสียเลย
เด็กหนุ่มถึงกับลุกพรวดอย่างตกใจสุดขีด ตาสว่างขึ้นทันตาเห็น
“หา? อะไรนะ ไฟไหม้เหรอ ที่ไหน เอ๋ อ้าว อาจารย์นี่เอง ปัดโธ่ มาหลอกกันได้ ตกใจหมดเลย” เกียรติภูมิถึงกับหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาเฉยๆซะอย่างงั้น
“ไหนรับปากว่าจะตั้งใจฟังที่สอนแล้วไง ฉันอุตส่าห์สอนแบบที่เข้าใจง่ายๆให้เธอฟังเต็มที่แล้วนะ” อาจารย์พิชัยเริ่มบ่น
“โธ่ จารย์ เนี่ยนะที่เข้าใจง่าย แค่ฟังชื่อก็ยาวเฟื้อยยิ่งกว่ารางรถไฟฟ้าใต้ดิน ตัดให้มันสั้นๆลงกว่านี้ไม่ได้หรือครับ เอาแบบย่นย่อ ฉบับนาทีเดียวจบก็พอ ก็ผมทนฟังนานกว่านี้ไม่ไหวนี่นา” นายเกียรติภูมิทำท่าโอดครวญประท้วงว่าอาจารย์สอนยืดยาด
“ทำงั้นได้ที่ไหนเล่า นี่ฉันก็ช่วยย่อเนื้อหาให้ฟังสั้นและกระชับที่สุดแล้วนะ แล้วนายหมีอ้วนน่ะ อย่าแอบกินขนมในห้อง เรียนซิ” อาจารย์พิชัยเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มร่างอ้วนใหญ่อีกคน กำลังหยิบขนมห่อหนึ่งออกมาเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยเหลือรับ “นี่ ตั้งใจฟังกันหน่อย”
“หมีอ้วนอะไรกัน หยั่งงี้ต้องเรียกหมีควายต่างหากครับ จารย์” จู่ๆก็มีนักเรียนอีกคนพูดแซวออกมาอย่างขบขันเต็มประดา
“ว่าใครหมีควายนะ อยากถูกตื๊บรึไง” คนถูกว่าชักโมโหขึ้นมา เพราะกำลังโดนยั่วเห็นๆ
“ก็แกนั่นแหละ ไอ้หมีควาย มีแต่แรง แต่ไม่มีหมอง” ศิลาด่ากลับอย่างไม่มีไว้หน้ากันบ้าง
“ฮึ่ม ปากอย่างงี้ ขออัดซะทีเถอะ” พูดพลางก็ลุกขึ้น แล้วทำท่าจะตรงเข้าไปเล่นงาน
“หยุดนะ หมีอ้วน จะทำอะไร คิดจะทำร้ายเพื่อนเหรอ” อาจารย์พิชัยต้องรีบห้ามเสียงเด็ดขาดเป็นประกาศิตโดยเร็วที่สุด
“โธ่ จารย์ ก็มันหาเรื่องผมก่อนนี่นา” หมีอ้วนไม่พอใจที่ถูกขึ้นเสียงใส่เช่นนั้น
อาจารย์พิชัยถอนใจอีกเป็นคำรบสอง
“นายศิลา นายหมีอ้วน เธอสองคนเลิกหาเรื่องกันเสียที เป็นเพื่อนกัน ควรสมัครสมานสามัคคีถึงจะถูก แล้วเคยบอกหลายครั้งแล้วใช่ไหม ให้เรียกว่า อาจารย์ ไม่ใช่จารย์เฉยๆ พวกเธอทำไมถึงชอบย่นย่อคำเอาเองตามอำเภอใจ มันมีแต่ทำให้ภาษาไทยสับสน สุดท้ายก็คงจะถึงกาลวิบัติ”
ทันใด เสียงมือถือก็ดังขึ้นเป็นเพลงจิงเกิ้ลเบล
ปรียานุชรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วจึงพูดเป็นน้ำไหลไฟดับโต้ตอบกลับไป
“โหล ใช่ ฉันเอง พูดอยู่ ไรนะ ให้ไปเดี๋ยวนี้ อุ๊ยไม่ได้หรอก เรียนอยู่ เดี๋ยวจารย์เต่า เอ๊ย อาจารย์พิชัยว่าเอาอีก เออน่า เลิกเรียนไปแน่ ที่เก่าใช่ม้า จ้า หวัดดี” จบแล้วก็รีบปิดเครื่อง หันมายิ้มหวานให้อาจารย์อย่างไม่รู้ไม่ชี้
“คิดจะไปที่ไหนน่ะ” อาจารย์พิชัยเริ่มบ่นขึ้นมาอีกแล้ว “นี่มันจวนเวลาเลิกเรียนแล้วนะ เธอควรรีบกลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง”
“แหม จารย์ก็” ปรียานุชเริ่มทำท่าแสนงอน
อาจารย์พิชัยถอนใจเป็นคำรบสาม
“ทำไมพวกเธอถึงเป็นแบบนี้กันนะ คนนึงก็หาว่าฉันสอนยืดยาดน่าเบื่อ ฟังแล้วจะหลับทุกที อีกคนก็เอาแต่กินไม่สนใจอย่างอื่น อีกคนก็ชอบล้อเพื่อน เธอก็เหมือนกัน ชอบโทรศัพท์นัดใครไม่รู้ อย่างน้อยเวลาเรียนก็น่าจะช่วยปิดมือถือบ้าง รู้หรือเปล่าว่ามันเป็นการรบกวนคนอื่น หัดมีความเกรงใจกันบ้างสิ ปรียานุช พวกเธอว่าเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำกันเสียที”
พูดแค่นั้น ก็มีเสียงปู๊ดขัดจังหวะ เป็นเสียงที่ดังดีแท้ จนนักเรียนในชั้นพากันหัวเราะขำกันเต็มที่ บางคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดจมูกเสีย
“อาหมวยตดเหม็น” นายศิลาส่งเสียงร้องล้อเลียน
“ฉันไม่ได้ชื่ออาหมวยนะ” ธิติมาร้องอย่างขัดใจเต็มที่ ทั้งอายจนบอกไม่ถูก ดันปล่อยตดออกมาเวลาแบบนี้ได้
“จะเรียกงี้ มีรายมะ อาหมวย” ศิลาจงใจยั่ว
ธิติมาร้องกรี๊ด และลุกขึ้นเต้นเร่าๆ “ไอ้บ้า ๆ ฮือๆ”
อาจารย์พิชัยเห็นท่าไม่ดีเสียแล้ว จู่ๆนักเรียนหญิงของเขาคนหนึ่งถึงกับร้องไห้โฮออกมา เขาแทบทำอะไรไม่ถูก แต่นึกขึ้นมาได้เกี่ยวกับวิชาเรียนที่สอน ก็รีบพูดปลอบโดยเร็วไปว่า
“ไม่เอาน่า ธิติมา อย่าร้องไห้สิ จะเป็นหมวยหรือไม่ ไม่ สำคัญเสียหน่อย ถึงไงเธอก็คือคนไทยเหมือนกัน เพราะเธอเกิดในเมืองไทย ที่นี่ไม่มีการแบ่งแยกชนชาติ เธอควรภูมิใจที่ได้เกิดในเมืองไทยนะ คนไทยคนจีนก็เป็นเหมือนพี่น้อง องค์พระมหากษัตริย์ของเราเอง ถ้าสืบสาวขึ้นไปดู จะเห็นว่าท่านเองก็มีเชื้อจีนอยู่เหมือนกัน ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเองก็หาได้มีความรังเกียจคนต่างชาติ คบหากับฝรั่งมังค่าเป็นมิตรอันดี ไม่มีการกีดกันทางเชื้อชาติและศาสนา ต่างกับประเทศอื่นๆในดินแดนแถบนี้ อ้าว ภาคินี นี่วาดอะไรบนสมุดการบ้านอยู่น่ะ นี่มันชั่วโมงประวัติศาสตร์นะ” อาจารย์พิชัยบังเอิญเหลือบไปเห็นเข้าพอดิบพอดี
ภาคินีมีอาการอึกอัก ยกมือขึ้นมาบังสมุด “เอ้อ หนู...”
“ไหนเอามาดูซิ” อาจารย์พิชัยเข้าไปเพื่อจะหยิบสมุดขึ้นมาดูให้ชัดๆ
“อุ๊ย อย่าค่ะ จารย์” ภาคินีร้องห้ามไม่ทัน อาจารย์ก็ยื่นมือมาดึงสมุดไปได้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แล้วพอดูภาพเขียนที่อยู่บนหน้ากระดาษหน้านึงของสมุด ก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเป็นรูปเต่าใส่แว่นตาหนาเตอะเลยทีเดียว
“นี่มันเต่านี่ แล้วทำไมถึงให้ใส่แว่นตา” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่ทันทราบความนัยนั้น
ศิลาหัวเราะออกมา “เต่าใส่แว่นตา ก็หมายถึงจารย์พิชัยน่ะซีครับ ไม่เห็นต้องถาม อาจารย์เต่าล้านปีใส่แว่นตาหนาเตอะ”
นักเรียนทั้งหมดพากันหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องตลกกัน จนอาจารย์พิชัยได้แต่ยืนตีหน้าขรึม ดูน่ากลัวขึ้น
ภาคินีกลัวอาจารย์จะโกรธ และพาลหักคะแนน จึงรีบหาคำแก้ตัว “คือ หนูจะเอาไปแปะที่ฝาห้อง ทุกครั้งที่มอง ก็จะได้นึกถึงคำสอนของจารย์ไงคะ”
อาจารย์ยังตีหน้าเคร่งอยู่ จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าวิ่งมาและตามด้วยเสียงเคาะประตู
“ขอโทษค่ะ จารย์ หนูมาสายไปหน่อย” นิลเนตรรีบร้องบอกกับเขาด้วยท่าทางดูรีบร้อนจริงๆ
เท่านั้นเอง เสียงออดก็ดังขึ้น บอกว่าหมดเวลาแล้ว
“หมดชั่วโมงพอดี วันนี้เท่ากับเธอขาดเรียนอีกหนึ่งวันนะ นิลเนตร” อาจารย์พิชัยทำเสียงตำหนิ
นิลเนตรจึงหน้าเสียเล็กน้อย
“ก็เห็นขาดเรียนทุกวันอยู่แล้ว เรื่องขาประจำมาสายน่ะ ไม่มีใครเกินหรอก คุณนายสายเสมอ” นายศิลาหาเรื่องตั้งสมญาให้คนอื่นอีกแล้ว
อาจารย์พิชัยหันไปมองเด็กหนุ่มผู้นั้น “นายศิลา ปากเธอน่ะ หุบๆหน่อย ก็ไม่มีใครว่าเธอเป็นใบ้หรอกนะ เอาล่ะ งั้นเลิกเรียน กลับบ้านได้”
พอพูดว่ากลับบ้านได้ นักเรียนทั้งชั้นเรียนก็พากันร้องเย้ แสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า แม้แต่นิลเนตรเองก็ต้องแอบถอนใจยิ้มๆอย่างเห็นขัน
อาจารย์พิชัยเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ถอนใจเพิ่มอีกเป็นคำรบที่สี่ของวันนี้ “เฮ้อ ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ ไม่มีใครสนใจเรียนวิชาประวัติศาสตร์กันเลย”
ชายหนุ่มได้แต่เก็บหนังสือเรียน จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง
เกียรติภูมิเห็นอาจารย์พิชัยไปแล้ว ก็เอาสมุดฟาดลงไปกับโต๊ะ แสดงท่าทางขัดเคือง “ฉันละเบื่อวิชาประวัติศาสตร์ที่ซู้ด เบื่อหน้าอาจารย์เต่าล้านปีเต็มทนแล้ว คนอะไร น่าเบื่อชะมัด ชอบจู้จี้ขี้บ่น ยุ่งเรื่องคนอื่นด้วย ถือว่าตัวเองเป็นอาจารย์ประจำชั้นหน่อย คอยจ้ำจี้จ้ำไชแต่พวกเราอยู่นั่น อาจารย์ท่านอื่นยังไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย แค่สอนให้จบๆก็พอ นี่ถึงกับลงทุนทำเรื่องย่อใหม่มาอ่านให้ฟังกันเลยนะเนี่ย ฉันล่ะเชื่อในความมีน้ำอดน้ำทนของแกเลยจริงๆ ซวยเป็นบ้าที่มาอยู่ห้องนี้”
หมีอ้วนก็ถอนใจ “แต่ฉันเบื่อหมดทุกวิชาเลยว่ะ ยิ่งวิชาภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ ยิ่งโครตเกลียดฉิบ”
ปรียานุชกำลังใช้แป้งโปะหน้าอยู่ แต่พอจะหาดินสอมาใช้เขียนขอบปาก ก็หาไม่เจอ “ตายแล้ว ใครเห็นดินสอเขียนขอบปากของฉันบ้างมั้ย หายไปไหนเนี่ย” รีบร้อนหาสาละวนค้นในกระเป๋าถือเป็นการใหญ่
“นี่ไง วางอยู่โต๊ะข้างๆ เอ้า เอาไป” ธิติมาหยิบขึ้นมาส่งให้ แล้วก็เหลือบเห็นกระเป๋าเข้าพอดี “เอ๊ะ กระเป๋าใบใหม่เหรอ สวยจังเลย ซื้อมาเท่าไหร่เหรอ” ถามด้วยอาการตื่นเต้นบอกไม่ถูก อยากได้จนแทบน้ำลายสอจริงๆ
ปรียานุชทำท่าภูมิใจเป็นอย่างมาก ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เอามาด้วย ถึงที่โรงเรียนจะห้ามไว้ก็เถอะ “ไม่แพงหรอก แค่สองหมื่นแปดเอง” เธอพูดเหมือนกับเป็นแค่ของถูกๆ จะหาซื้อที่ไหนก็ได้
ภาคินีกับนิลเนตรได้ยินก็หันไปมองสบตากัน แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง “ตั้งสองหมื่นแปดเชียว แบบนี้เหรอที่ว่ายังไม่แพง” ภาคินีถามอย่างข้องใจ เธอกับนิลเนตรคงไม่มีปัญญาซื้อแน่ เพราะที่บ้านของพวกเธอไม่ได้ร่ำรวยอย่างปรียานุช
ปรียานุชทำท่าดูถูกนิดๆ รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังอิจฉา “ก็ของ ดิออนี่ยะ ของแท้นะ สั่งตรงมาจากนอก ไม่ใช่ของเมคอินไทยแลนด์นะเธอ พ่อฉันอุตส่าห์ซื้อมาฝากให้เชียวล่ะ”
ธิติมามีอาการบ้าเห่อตาม “โห ดีจัง ฉันก็อยากได้บ้าง”
“ก็กลับไปขอป่าป๊าหม่าม้าของหล่อนซียะ” ปรียานุชตอบอย่างไม่สน
ธิติมาได้แต่ตีหน้าม่อย เพราะถึงขอ ป่าป๊ากับหม่าม้าก็คงไม่ยอมซื้อให้อยู่ดี เธอไม่ได้เป็นลูกแค่คนเดียว ยังมีพี่น้องอีกตั้งหลายคน ป่าป๊ากับหม่าม้าไม่ค่อยสนใจจะซื้ออะไรให้เธอเลย แต่ถ้าเป็นพี่ชายคนโตกับพี่สาวคนรอง ไม่ว่าอะไรป่าป๊ากับหม่าม้าก็รีบ หามาประเคนให้ เพราะความรักลูกไม่เท่ากัน
นิลเนตรจดการบ้านที่ต้องทำเสร็จ ก็รีบบอกทุกคน “ฉันกลับก่อนล่ะ ไปนะ” จากนั้นก็รีบร้อนออกไป
ปรียานุชเห็นก็ชักรำคาญและหมั่นไส้ ในบรรดานักเรียนหญิงด้วยกัน เธอรู้สึกไม่ชอบนิลเนตรที่สุด
“อะไรของแม่คนนั้นกันนะ รีบร้อนหยั่งกับจะไปตามควาย”
ศิลาเห็นเช่นนั้น ก็รีบลุกเข้ามาหาเพื่อนๆ “นี่ พวกแกสงสัยอะไรบ้างไหม” เขาทำท่าจะจับกลุ่มนินทาอีก
เกียรติภูมิรู้ทัน ก็ชักจะไม่ค่อยพอใจ “ไอ้ศิลา คิดจะหาเรื่องยุแยงอะไรคนอื่นอีกหรือไง แกมันจำพวกชอบยุให้รำตำให้รั่ว ชอบทำให้คนอื่นแตกคอกันเอง มันสนุกนักรึไงฟะ”
“เปล่าเฟ้ย ฉันไม่เคยทำแบบนั้นเสียหน่อย” ศิลารีบแก้ตัว “แกฟังฉันก่อนซี ฉันสังเกตมานานแล้ว พวกแกไม่เคยสังเกตกันบ้างหรือไง ยายนิลเนตรนั่น หมู่นี้ทำไมถึงได้ชอบมาเรียนสาย แถมยังกลับก่อนคนอื่น” เขาตั้งคำถามที่ฟังชวนให้สงสัยพฤติกรรมของเพื่อนนักเรียนสาวในชั้นที่เพิ่งจะจากไป
“เออ จริงด้วย แล้วทำไมเป็นงั้นล่ะ” หมีอ้วนได้ฟังก็นึกสงสัยขึ้นมา ตามที่ศิลาคาดเอาไว้
ศิลายิ้มมีเลศนัย “ฉันว่ายายนี่จะต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอยู่แน่ๆ ไม่แน่นะ ที่ชอบมาสายประจำ แล้วรีบกลับก่อนใครน่ะ แม่นี่อาจจะแอบไปหาลำไพ่พิเศษก็ได้นา แล้วต้องเป็นงานที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์ด้วย ถึงได้ไม่เคยบอกให้ใครรู้”
เกียรติภูมิได้ฟังก็ทำท่าไม่เชื่อ “จะใช่อย่างที่นายว่าเหรอ”
ศิลาเห็นเกียรติภูมิไม่เชื่อ ก็ทำท่ารวนขึ้นมา จงใจหาเรื่องด้วยอีกคน “อะไร หรือเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ทำท่าร้อนตัวแบบนี้ ชักสงสัยนายเสียแล้วซี”
เกียรติภูมิได้ฟังก็ชักอารมณ์เสีย “ไอ้บ้า ฉันกลับก่อนล่ะ เดี๋ยวต้องไปชมรมปิงปองอีก พวกน้องๆคอยแย่แล้ว” พูดจบก็รีบเดินหนีออกไป เพราะยังไม่อยากมีเรื่องทะเลาะด้วย
“เชอะ นึกว่าตัวเองเก่งตายล่ะ ก็แค่ประธานชมรมปิงปองเอง” ศิลาทำท่าเหยียดหยามอีกฝ่ายตามวิสัยคนพาลดีๆนี่เอง
ธิติมาเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ เพราะศิลาก็ได้แต่พูดว่าคนอื่นลับหลังเท่านั้น “ก็ยังดีกว่านายแหละ นายศิลา”
ศิลาโดนว่าบ้าง ก็ชักฉุน “โอ๊ะ เข้าข้างกันเลย รู้นะว่าตัวคิดอะไรอยู่ แต่ลงรูปนี้ ท่าทางคงกลายเป็นรักสามเส้าแหงแก๋”
ธิติมาร้องกรี๊ด “ไอ้บ้า ไปตายซะไป เกลียดขี้หน้านายจริงๆเลย”
ปรียานุชหยิบมือถือขึ้นมาโทร แต่โทรไปก็ไม่ติดเสียที
“โอ๊ย ทำไมถึงโทรไม่ติดซะทีนะ มัวแต่คุยกับใครอยู่ อ้าว แบ๊ตเลยหมดเลย บ้าจัง”

ลุงกล่ำเป็นภารโรงประจำโรงเรียน หน้าที่ของแกคือการมาทำความสะอาดและซ่อมแซมข้าวของบางอย่างที่พอจะทำได้ การมาทำความสะอาดห้องธุรการก็เป็นหน้าที่ของแกเหมือนกัน ที่ห้องนี้มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย เป็นภาพขนาดใหญ่ที่สวยงามสะดุดตาแขวนไว้บนฝาผนังห้องด้านหนึ่ง ช่วงเย็นๆ ห้องธุรการไม่มีคนเข้ามาใช้ ลุงกล่ำจึงใช้เวลานี้เข้าไปทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งพอเสร็จงานลุงแกก็ต้องรีบกลับบ้านไปกินข้าวเย็นที่เมียลุงกล่ำหุงหารอท่าอยู่
วันนี้ลุงกล่ำจะเข้ามาทำความสะอาดตามเคย แล้วก็ได้เห็นอาจารย์พิชัยเข้า แต่การเห็นอาจารย์ที่ห้องนี้ ไม่ได้ทำให้ลุงกล่ำได้ รู้สึกแปลกใจอีกแล้ว เพียงแต่สงสัยลางๆว่ามาทำไมประจำ
“ขอโทษครับ อาจารย์ ผมจะเข้ามาเก็บกวาดพื้นครับ” ลุงกล่ำบอกให้รู้ตัวโดยอัตโนมัติ
อาจารย์พิชัยหันไปมอง “อ้าว ลุงกล่ำ เข้ามาซี ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจก็ได้” ชายหนุ่มรีบบอก
ลุงกล่ำแอบมองหน้าอาจารย์พิชัย สังเกตว่าอาจารย์เอาแต่ยืนจ้องมองพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จร.๕อยู่
“อาจารย์ชอบมาดูพระบรมฉายาลักษมณ์ของสมเด็จพระ ร.๕ที่ห้องนี้เรื่อยนะครับ ชอบภาพนี้หรือครับ” ลุงกล่ำถามอย่างชวนคุย เพราะอาจารย์พิชัยก็ไม่ใช่อาจารย์ที่ดุจนน่ากลัวอะไร เพียงแต่จะจู้จี้ขี้บ่นเป็นบางครั้ง เห็นว่าเริ่มเป็นก็ตั้งแต่ต้องสอนนักเรียน ชั้นบ๊วยนี่แหละ
อาจารย์พิชัยยิ้มนิดๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง
“อืม ภาพนี้สวยมากเลยนะ ที่บ้านฉันก็มี แต่งามสู้ที่นี่ไม่ได้”
ลุงกล่ำเข้าใจดี “อาจารย์คงจะเป็นพวกนิยมบูชาท่านใช่ไหมครับ ถึงได้มีภาพท่านอยู่ที่บ้านด้วย”
อาจารย์พิชัยพยักหน้า “อืม ท่านเป็นที่พึ่งทางใจของฉันเลย เวลามีเรื่องกลุ้มอะไร พอได้มองท่านแล้ว ใจก็จะรู้สึกสงบลง แล้วลุงกล่ำล่ะ” อาจารย์พิชัยถามบ้าง เปิดโอกาสสนทนาให้
ลุงกล่ำอุทาน “โอ๊ย ผมไม่มีเงินซื้อของสวยๆงามๆแบบนี้หรอกครับ ลำพังเงินเดือนผม แค่ยาไส้ก็เต็มกลืนแล้ว นี่ยังมีเมียกับลูกๆอีกตั้งหลายคนแน่ะ ขนาดช่วยกันทำมาหากิน ยังไม่พอมีเงินเหลือเก็บ”
อาจารย์พิชัยได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “ลุงจะเก็บเงินไปทำไมเหรอ”
“ก็ไว้ซื้อบ้านของตัวเองบ้างซีครับ นี่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องแคบๆเท่ารูหนู คนจนๆก็งี้แหละ” ลุงกล่ำถอนใจ เบื่อกับชีวิตจนๆที่ต้องหาเช้ากินค่ำเต็มทน
อาจารย์พิชัยมองอย่างเห็นใจ “ฉันเห็นใจนะ อยากจะช่วย...”
“โธ่ ผมรู้น่า ว่าอาจารย์อยากพูดอะไร” ลุงกล่ำรีบพูดอย่างรู้ทัน “ลำพังอาจารย์ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงใช่ไหมครับ ผมทราบครับ ผมเข้าใจดี ตัวเราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง จะมานั่งงอมืองอเท้าหวังรอให้คนอื่นมาช่วยได้ไง ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผมก็อยากให้เสด็จร.๕ช่วยแสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารให้ผมถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งกับเขาบ้าง
อาจารย์พิชัยก็ถอนใจ
“ฉันเองก็อยากขอให้ท่านช่วยทำให้เด็กๆในชั้นเรียนตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้เหมือนกัน ทุกคนเอาแต่คิดถึงเรื่องความสุขสบายส่วนตัว ไม่มีใครที่มีใจคิดจะช่วยเหลือชาติบ้านเมืองบ้าง ทั้งๆ ที่เราก็เกิดเป็นไทยแท้ๆ”
“เด็กๆสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่า พ่อแม่เลี้ยงมายังไง ผมเองก็เห็นใจอาจารย์มากเลยนะครับเนี่ย” ลุงกล่ำแสดงความเห็นใจอาจารย์พิชัยออกมา
อาจารย์พิชัยงุนงง ไม่เข้าใจ “เห็นใจฉันน่ะ?”
เขาไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่
“เอ้อ...ผมอาจไม่ควรพูดก็ได้ แต่ผมได้ยินพวกเด็กๆชอบเรียกอาจารย์ลับหลังว่า อาจารย์เต่าล้านปี แถมยังนินทาว่าร้ายไปต่างๆนาๆ” ลุงกล่ำเล่าให้ฟังเรื่องที่ไปแอบได้ยินมา
อาจารย์พิชัยมุ่นคิ้ว “แล้วนินทาว่าไง”
“เขาก็ว่าอาจารย์เป็นพวกบ้าประวัติศาสตร์ เป็นผู้ชายแย่ๆ ไม่ทันสมัย ขี้บ่น เมียทิ้ง โอ๊ะ ขอประทานโทษครับ” ลุงกล่ำรีบพูดเร็ว เพราะกลัวอาจารย์จะโกรธ
“เถอะ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ฉันก็พอเดาออกเหมือนกันว่า ในสายตาเด็กๆ ฉันมันคงดูแย่มาก ผู้ชายที่ถูกเมียทิ้งก็แบบนี้แหละ” อาจารย์พิชัยพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
“อ้าว น้อยใจไปซะแล้ว คงเพราะโดนว่าเมียทิ้งแหงๆ” พูดแล้วลุงกล่ำก็นึกขำ จึงได้แต่หัวเราะหึๆ

home อ่านหน้าต่อไป